ปฏิโสตคามึ นิปุณํ คมฺภีรํ ทุทฺทสํ อณุํ
ราครตฺตา น ทกฺขนฺติ ตโมกฺขนฺเธน อาวุตา.
“ผู้ถูกราคะย้อม ถูกกองมืด (อวิชชา) ห่อหุ้มแล้ว ย่อมไม่เห็นธรรมสำหรับฝืนใจอันละเอียดลออ ลึกซึ้ง ซึ่งเห็นได้ยาก.”
ผู้ไม่คดโกง ไม่พูดเพ้อ มีปรีชา ไม่หยิ่ง มีใจมั่นคง นั้นแล ย่อมงดงามในธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงแล้ว
เขากล่าวว่า ฟ้ากับดินไกลกัน และฝั่งทะเลก็ไกลกัน แต่ธรรมของสัตบุรุษกับของอสัตบุรุษ ไกลกันยิ่งกว่า
ตณฺหาทุติโย ปุริโส ทีฆมทฺธาน สํสรํ
อิตฺถมฺภาวญฺญถาภาวํ สํสารํ นาติวตฺตติ.
“คนมีตัณหาเป็นเพื่อน ท่องเที่ยวอยู่ช้านาน ไม่ล่วงพ้นสงสาร ที่กลับกลอกไปได้.”
ขตฺติยา พฺราหฺมณา เวสฺสา สุทฺทา จณฺฑาลปุกฺกุสา
อิธ ธมฺมํ จริตฺวาน ภวนฺติ ติทิเว สมา.
“กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร จัณฑาล และคนงานชั้นต่ำ ประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว ย่อมเป็นผู้เสมอกันในสวรรค์ชั้นไตรทิพย์.”
อุปารมฺภจิตฺโต ทุมฺเมโธ สุณาติ ชินสาสนํ
อารกา โหติ สทฺธมฺมา นภโส ปฐวี ยถา.
“ผู้มีปัญญาทราม มีจิตใจกระด้าง ถึงฟังคำสอนของพระชินเจ้า ก็ยังห่างไกลจากพระสัทธรรม เหมือนดินกับฟ้า.”
ผู้ใดสอนธรรมแก่คนปฏิบัติไม่ถูก ถ้าเขาทำตามคำของผู้นั้น จะไม่ไปสู่ทุคติ (พุทฺธ) ขุ.ชา.สฏฺฐี. 28/39.
ผู้ให้ของชอบใจ ย่อมได้ของชอบใจ ผู้ให้ของเลิศ ย่อมได้ของเลิศ ผู้ให้ของดี ย่อมได้ของดี ผู้ให้ของประเสริฐ ย่อมถึงฐานะอันประเสริฐ (พุทฺธ) องฺ.ปญฺจก. 22/56.
ผู้ให้ข้าว ชื่อว่าให้กำลัง ผู้ให้ผ้า ชื่อว่าให้ผิวพรรณ ผู้ให้ยานพาหนะ ชื่อว่าให้ความสุข ผู้ให้ประทีปโคมไฟ ชื่อว่าให้จักษุ (พุทฺธ) สํ.ส. 15/44.
ผู้ให้ข้าว ชื่อว่าให้กำลัง ผู้ให้ผ้า ชื่อว่าให้ผิวพรรณ ผู้ให้ยานพาหนะ ชื่อว่าให้ความสุข ผู้ให้ประทีปโคมไฟ ชื่อว่าให้จักษุ (โพธิสตฺต) ขุ.ชา.จตุกฺก. 27/129.
ผู้ใดไม่ให้ทานในคนที่ไม่ควรให้ ย่อมให้ในคนที่ควรให้ ผู้นั้นประสบความเสื่อมเพราะอันตราย ย่อมได้สหาย (โพธิสตฺต) ขุ.ชา.จตุกฺก. 27/129.
ผู้ใดให้ที่พัก ผู้นั้นชื่อว่าให้สิ่งทั้งปวง ผู้ใดสอนธรรม ผู้นั้นชื่อว่าให้อมตะ (พุทฺธ) สํ.ส. 15/45.
ห้วงน้ำที่เต็ม ย่อมยังสาครให้เต็มได้ ฉันใด ทานที่ให้แต่โลกนี้ ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่ผู้ละไปแล้ว ฉันนั้น (พุทฺธ) ขุ.ขุ. 25/10.
ให้ทานเป็นต้นก่อน จึงได้สุขบัดนี้ เหมือนรดน้ำที่โคน ให้ผลที่ปลาย
พึงนำ (สมบัติ) ออกด้วยการให้ วัตถุที่ให้แล้วย่อมเป็นอันนำออกดีแล้ว วัตถุที่ให้แล้วย่อมมีผลเป็นสุข ส่วนวัตถุที่ยังไม่ได้ให้ก็ไม่เป็นอย่างนั้น (เทวตา) สํ.ส. 15/43.
ผู้ให้สิ่งอันเลิศ ให้สิ่งที่ดี ให้สิ่งที่ประเสริฐ ย่อมเป็นผู้มีอายุยืน มียศในภพที่ตนเกิด (พุทฺธ) องฺ.ปญฺจก. 22/56.
เมื่อให้ทานในวัตถุอันเลิศ บุญอันเลิศ อายุ วรรณะ ยศ เกียรติ สุข และกำลังอันเลิศ ย่อมเจริญ (พุทฺธ) ขุ.อิติ. 25/299.
ผู้มีปัญญา พึงรักษาจิตที่เห็นได้ยากนัก ละเอียดนัก มักตกไปในอารมณ์ที่น่าใคร่ (เพราะว่า) จิตที่คุ้มครองแล้ว นำสุขมาให้
คนใดมีจิตไม่ท้อถอย มีใจไม่หดหู่ บำเพ็ญกุศลธรรมเพื่อบรรลุธรรมที่เกษมจากโยคะ พึงบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นสังโยชน์ทั้งปวงได้
ภิกษุเพ่งพินิจ มีจิตหลุดพ้น รู้ความเกิดและความเสื่อมแห่งโลกแล้ว มีใจดี ไม่ถูกกิเลสอาศัย มีธรรมนั้นเป็นอานิสงส์ พึงหวังความบริสุทธิ์แห่งใจได้
ผู้ใดทำกรรมชั่ว ล่อลวงเอาทรัพย์สมบัติพี่น้องพ่อแม่ ผู้นั้น มีจิตชั่วร้าย ย่อมไม่มีความเจริญ แม้เทวดาก็ไม่บูชาเขา
การฝึกจิตที่ข่มยาก ที่เบา มักตกไปในอารมณ์ที่น่าใคร่ เป็นความดี (เพราะว่า) จิตที่ฝึกดีแล้ว นำสุขมาให้
ผู้ถูกตัณหาครอบงำ ถูกศีลพรตผูกมัด ประพฤติตบะอันเศร้าหมองตั้งร้อยปี จิตของเขาก็หลุดพ้นด้วยดีไม่ได้ เขามีตนเลว จะถึงฝั่งไม่ได้
โลกถูกจิตนำไป ถูกจิตชักไป สัตว์ทั้งปวงไปสู่อำนาจแห่งจิตอย่างเดียว (พุทฺธ) สํ.ส. 15/54.
บุคคลรู้กายนี้ที่เปรียบด้วยหม้อ กั้นจิตที่เปรียบด้วยเมืองนี้แล้ว พึงรบมารด้วยอาวุธคือปัญญา และพึงรักษาแนวที่ชนะไว้ ไม่พึง ยับยั้งอยู่
จิตของท่านย่อมเดือดร้อนเพราะเข้าใจผิด ท่านจงเว้นเครื่องหมายที่สวยงามประกอบด้วยความรัก (อานนฺท) สํ.ส. 15/277.
ผู้มีจิตอันไม่ชุ่มด้วยราคะ มีใจอันโทสะไม่กระทบแล้ว มีบุญและบาปอันละได้แล้ว ตื่นอยู่ ย่อมไม่มีภัย
ภูเขาหินแท่งทึบ ไม่สั่นสะเทือนเพราะลม ฉันใด บัณฑิตย่อมไม่หวั่นไหว ในนินทาและสรรเสริญ ฉันนั้น (พุทฺธ) ขุ.ธ. 25/25.
จิตนี้ถูกยกขึ้นจากอาลัยคือกามคุณ เพื่อละที่ตั้งแห่งมาร ย่อมดิ้นรนเหมือนปลาถูกจับขึ้นจากน้ำโยนไปบนบกฉะนั้น
ผู้ใด มักหวาดสะดุ้งต่อเสียง เหมือนเนื้อทรายในป่า ท่านเรียกผู้นั้นว่า มีจิตเบา พรตของเขาย่อมไม่สำเร็จ