ความประมาท หมายถึง ความลุ่มหลงมัวเมา ก็ได้ ความขาดสติ, ความเผอเรอ ก็ได้ ความไม่เอาใจใส่ ไม่ให้ความสำคัญ ก็ได้ ความประมาทในที่นี้ หมายเอาการไม่เอาใจใส่ หรือการไม่ให้ความสำคัญ ดังนั้น สิ่งที่ไม่ควรประมาท จึงหมายถึง สิ่งที่ไม่ควรละเลย หรือสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ มี 4 ประการ คือ
1. ไม่ควรประมาทในการละกายทุจริต ประพฤติกายสุจริต
ควรเอาใจใส่ในการพยายามละกายทุจริต อันเป็นการประพฤติชั่วทางกายทั้ง 3 ประการ ได้แก่
- ปาณาติบาต คือ การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
- อทินนาทาน คือ การถือเอาทรัพย์สินที่ผู้อื่นมิได้ให้
- กาเมสุมิจฉาจาร คือ การประพฤติผิดในกาม
และควรเอาในใส่ในการประพฤติกายสุจริต อันเป็นการประพฤติดีทางกายทั้ง 3 ประการ ได้แก่
- ปาณาติปาตา เวรมณี งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
- อทินนาทานา เวรมณี งดเว้นจากการถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้
- กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม
2. ไม่ควรประมาทในการละวจีทุจริต ประพฤติวจีสุจริต
ควรเอาใจใส่ในการพยายามละวจีทุจริต อันเป็นการประพฤติชั่วทางวาจา 4 ประการ ได้แก่
- มุสาวาท คือ การพูดปด การโกหก
- ปิสุณวาจา คือ การพูดส่อเสียด พูดยุยงให้คนอื่นแตกสามัคคีกัน
- ผรุสวาจา คือ การพูดคำหยาบคาย
- สัมผัปปลาป คือ การพูดเพ้อเจ้อ
และควรเอาใจใส่ในการบำเพ็ญวจีสุจริต อันเป็นการประพฤติดีทางวาจา 4 ประการ ได้แก่
- มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากการพูดเท็จ
- ปิสุณาย วาจาย เวรมณี เว้นจากการพูดส่อเสียด
- ผรุสาย วาจาย เวรมณี เว้นจากการพูดคำหยาบ
- สัมผัปปลาปา เวรมณี เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ
3. ไม่ควรประมาทในการละมโนทุจริต ประพฤติมโนสุจริต
ควรเอาใจใส่ในการพยายามละมโนทุจริต อันเป็นการประพฤติชั่วทางใจ 3 ประการ ได้แก่
- อภิชฌา คือ ความโลภอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตนเองในทางที่ไม่ถูกต้อง
- พยาบาท คือ ความคิดปองร้ายคนอื่น
- มิจฉาทิฏฐิ คือ ความเห็นที่ผิดจากทำนองคลองธรรม
และควรเอาใจใส่ในการบำเพ็ญมโนสุจริต อันเป็นความประพฤติดีทางใจ 3 ประการ ได้แก่
- อนภิชฌา ความไม่โลภอยากได้ของคนอื่น
- อพยาบาท ความไม่คิดปองร้ายคนอื่น
- สัมมาทิฏฐิ ความเห็นที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
4. ไม่ควรประมาทในการละความเห็นผิด ทำความเห็นให้ถูก
ไม่ควรประมาทในการละความเห็นผิด ทำความเห็นให้ถูก คือ
- พยายามพิจารณาให้เห็นร่างกายเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตาอยู่เสมอ
- พยายามพิจารณาทรัพย์สิ่งของทั้งปวงให้เห็นเป็นเพียงสิ่งสมมติอยู่เสมอ
- พยายามพิจารณาขันธ์ 5 ให้เห็นเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตาอยู่เสมอ
อีกอย่างหนึ่ง ไม่ควรประมาทในการระวังจิต 4 ด้าน ดังต่อไปนี้
1. ไม่ควรประมาทในการระวังจิตไม่ให้กำหนัดในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด
ให้คอยระวังจิต ไม่ให้เกิดความยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงว่าสิ่งเหล่านั้น ล้วนมีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา เกิดขึ้นมาแล้วล้วนต้องแตกสลายไปในที่สุด ไม่ควรยินดีพอใจในสิ่งเหล่านั้น
2. ไม่ควรประมาทในการระวังจิตไม่ให้ขัดเคืองในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคือง
ให้คอยระวังจิต ไม่ให้เกิดความขัดเคืองในรูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ อันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าพอใจ พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงว่าสิ่งเหล่านั้น ล้วนมีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา เกิดขึ้นมาแล้วล้วนต้องแตกสลายไปในที่สุด ไม่ควรขัดเคืองใจในสิ่งเหล่านั้น
3. ไม่ควรประมาทในการระวังจิตไม่ให้หลงในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความหลง
ให้คอยระวังจิต ไม่ให้เกิดความหลงในรูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ ทั้งที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจ พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงว่าสิ่งเหล่านั้น ล้วนมีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา เกิดขึ้นมาแล้วล้วนต้องแตกสลายไปในที่สุด ไม่ควรหลงในสิ่งเหล่านั้น
4. ไม่ควรประมาทในการระวังจิตไม่ให้มัวเมาในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความมัวเมา
ให้คอยระวังจิต ไม่ให้เกิดความมัวเมาในชาติตระกูล ในวัย ในอายุ ในอำนาจ ในสรรเสริญ เป็นต้น เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น ก็ล้วนตกอยู่ภายใต้กฎพระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีสาระแก่นสาร ไม่ควรยึดถือเป็นอารมณ์ให้เกิดความมัวเมา