วันคืนย่อมล่วงไป ชีวิตย่อมหมดเข้าไป อายุของสัตว์ย่อมสิ้นไป เหมือนน้ำแห่งแม่น้ำน้อย ๆ ฉะนั้น

อจฺจยนฺติ อโหรตฺตา ชีวิตํ อุปรุชฺฌติ อายุ ขียติ มจฺจานํ กุนฺนทีนํว โอทกํ

อจฺจยนฺติ อโหรตฺตา     ชีวิตํ อุปรุชฺฌติ
อายุ ขียติ มจฺจานํ     กุนฺนทีนํว โอทกํ.

[คำอ่าน]

อัด-จะ-ยัน-ติ, อะ-โห-รัด-ตา…..ชี-วิ-ตัง, อุ-ปะ-รุด-ชะ-ติ
อา-ยุ, ขี-ยะ-ติ, มัด-จา-นัง…..กุน-นะ-ที-นัง-วะ, โอ-ทะ-กัง

[คำแปล]

“วันคืนย่อมล่วงไป ชีวิตย่อมหมดเข้าไป อายุของสัตว์ย่อมสิ้นไป เหมือนน้ำแห่งแม่น้ำน้อย ๆ ฉะนั้น.”

(พุทฺธ) สํ.ส. 15/159, ขุ.มหา. 29/144.

เวลาทุก ๆ วินาทีในแต่ละวันแต่ละคืนนั้นย่อมล่วงเลยผ่านไปทุกขณะ เวลาย่อมเดินหน้าอย่างเดียว ไม่มีถอยหลัง ดังนั้น เวลาแต่ละวันแต่ละคืนนั้น ย่อมมีแต่ล่วงเลยไปอย่างเดียว ไม่สามารถย้อนกลับมาได้เลยแม้แต่เสี้ยววินาที

ทุกขณะที่เวลาล่วงเลยไป ชีวิตของคนและสัตว์ทั้งหลายก็สั้นเข้าไปทุกขณะเช่นเดียวกัน อายุของคนและสัตว์ทั้งหลายย่อมสิ้นไปในทุก ๆ วินาทีที่ล่วงเลยไป จึงสามารถกล่าวได้ว่า อายุของเรานั้นมีแต่น้อยลง ไม่มีเพิ่มขึ้นเลย การที่เรามานั่งนับอายุของตัวเองว่าเรามีอายุเท่านั้นปีเท่านี้ปี แท้ที่จริงแล้วมันคือการนับช่วงเวลาที่หมดไป นั่นคือความเสื่อมสิ้นไปของอายุของเรา ถ้าวันนี้เรามีอายุ 39 ปี นั่นหมายถึง เวลาของเราในโลกนี้หมดสิ้นไปแล้ว 39 ปีนั่นเอง

อายุของคนและสัตว์ทั้งหลายมีแต่น้อยลงตามลำดับ ไม่ได้มีเพิ่มขึ้นเลย เปรียบเสมือนน้ำในแม่น้ำสายเล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ หมดลงไปทุกขณะ ๆ ในที่สุดก็เหือดแห้ง ชีวิตของเราก็เหมือนกัน ค่อย ๆ หมดไปทุกขณะ ๆ ในที่สุดก็สิ้นสุดลง คือเราต้องตายในที่สุดนั่นเอง

เมื่อรู้ดังนี้แล้ว เราควรใช้เวลาทุก ๆ วินาทีที่ยังมีชีวิตอยู่ให้คุ้มค่าที่สุด ด้วยการสร้างสรรค์คุณงามความดี สร้างประโยชน์ให้กับตนเองและสังคมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สร้างกุศลบุญบารมีให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อทำได้ดังนี้ ชีวิตของเราจึงจะเป็นชีวิตที่มีคุณค่า เมื่อถึงเวลาที่ต้องตายไป ก็ถือว่าได้ตายอย่างมีคุณค่าและไม่เสียชาติเกิด.