ผู้มีปัญญาเหล่าใด ขวนขวายในฌาน ยินดีในความสงบอันเกิดจากเนกขัมมะ เทวดาทั้งหลายก็พอใจต่อผู้มีปัญญา ผู้รู้ดีแล้ว มีสติ เหล่านั้น

เย ฌานปสุตา ธีรา

เย ฌานปสุตา ธีรา     เนกฺขมฺมูปสเม รตา
เทวาปิ เตสํ ปิหยนฺติ     สมฺพุทฺธานํ สตีมตํ.

[คำอ่าน]

เย, ชา-นะ-ปะ-สุ-ตา, ที-รา     เนก-ขำ-มู-ปะ-สะ-เม, ระ-ตา
เท-วา-ปิ, เต-สัง, ปิ-หะ-ยัน-ติ     สำ-พุด-ทา-นัง, สะ-ตี-มะ-ตัง

[คำแปล]

“ผู้มีปัญญาเหล่าใด ขวนขวายในฌาน ยินดีในความสงบอันเกิดจากเนกขัมมะ เทวดาทั้งหลายก็พอใจต่อผู้มีปัญญา ผู้รู้ดีแล้ว มีสติ เหล่านั้น.”

(พุทฺธ) ขุ.ธ. 25/39.

คำว่า “ผู้มีปัญญา” ในพุทธศาสนา หมายถึง บุคคลที่มีความรู้ ความเข้าใจ และมีวิจารณญาณที่ดีในการพิจารณาสิ่งต่างๆ อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะในการแยกแยะสิ่งที่ถูกต้องกับสิ่งที่ผิด สิ่งที่เป็นคุณกับสิ่งที่เป็นโทษ

ในทางพุทธศาสนา ปัญญาแบ่งออกเป็น 3 ระดับหลักๆ คือ

  • สุตมยปัญญา (ปัญญาที่เกิดจากการฟังหรือการศึกษา): หมายถึงปัญญาที่ได้มาจากการเรียนรู้ รับฟัง หรือศึกษา ซึ่งเป็นพื้นฐานแรกของการเข้าใจธรรมะ
  • จินตามยปัญญา (ปัญญาที่เกิดจากการคิดพิจารณา): หมายถึงปัญญาที่เกิดจากการคิดไตร่ตรอง การวิเคราะห์ และการทบทวนเนื้อหาที่ได้ศึกษา เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
  • ภาวนามยปัญญา (ปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติ): เป็นปัญญาขั้นสูงสุดที่เกิดจากการฝึกฝนปฏิบัติธรรม เช่น การทำสมาธิและวิปัสสนา ทำให้บุคคลสามารถเห็นความจริงของธรรมชาติ คือความไม่เที่ยง ทุกข์ และอนัตตา

ผู้มีปัญญาจะมีความสามารถในการรู้แจ้งเห็นจริงตามสภาวะธรรมชาติ และไม่ยึดติดกับสิ่งต่างๆ ในโลก สามารถพัฒนาตนเองให้หลุดพ้นจากทุกข์และความวุ่นวายของจิตใจได้

ฌาน หมายถึง ภาวะจิตที่มีสมาธิอย่างมั่นคงและสงบสูงสุด เป็นการรวมจิตให้แน่วแน่ในสิ่งหนึ่งสิ่งใด จนไม่มีสิ่งรบกวนจิตใจ เป็นกระบวนการฝึกจิตเพื่อความสงบและความสุขภายใน การเข้าสู่ฌานจะทำให้จิตหลุดพ้นจากการคิดฟุ้งซ่านและเข้าถึงความสุขสงบในระดับลึก

ฌานเกิดขึ้นได้จากการฝึกสมาธิหรือการเจริญภาวนา ซึ่งทำได้โดยการกำหนดจิตให้อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น ลมหายใจหรือการพิจารณาธรรมะ ผู้ที่ฝึกฌานอย่างต่อเนื่องจะสามารถพัฒนาจิตให้มั่นคงในระดับที่สูงขึ้นและเป็นพื้นฐานไปสู่การเจริญวิปัสสนาเพื่อความพ้นทุกข์อย่างถาวร

เนกขัมมะ หมายถึง การออกจากกามคุณหรือการละทิ้งความยินดีในกิเลสและสิ่งที่เป็นทางโลก เป็นแนวคิดในการละวางสิ่งที่ทำให้จิตใจยึดติดกับความสุขทางโลก เช่น ความต้องการทางร่างกาย ความอยากในทรัพย์สิน หรือความยินดีในสิ่งล่อใจต่างๆ เพื่อให้จิตใจเข้าสู่ความสงบและเป็นอิสระ

เนกขัมมะมาจากคำว่า “เน” (ออก) และ “ขัมมะ” (การก้าวไป) ซึ่งรวมกันหมายถึงการออกจากกิเลสตัณหาและการก้าวเข้าสู่ความสงบภายใน เป็นการออกจากความสุขทางโลกที่มาจากความพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส (กามคุณ 5) ที่มักทำให้จิตใจวุ่นวายและเกิดทุกข์

เนกขัมมะประกอบด้วยลักษณะต่างๆ เช่น

  • การละทิ้งกิเลส: เป็นการลดและละความยินดีในกิเลส เช่น ความอยากได้อยากมี ความโกรธ ความหลง เพื่อให้จิตสงบและไม่ถูกครอบงำด้วยความปรารถนาทางโลก
  • การออกบวช: ในระดับหนึ่ง เนกขัมมะสามารถหมายถึงการออกบวชหรือการละชีวิตทางโลกเพื่อแสวงหาความสงบทางจิตใจ
  • การปฏิบัติเพื่อละวาง: ผู้ที่ปฏิบัติตามเนกขัมมะจะเน้นไปที่การฝึกจิตใจให้ไม่ติดอยู่กับความสุขทางโลก แต่มีเป้าหมายที่จะบรรลุความสงบสุขที่ยั่งยืนและเป็นอิสระจากกิเลส

เนกขัมมะเกิดขึ้นจากการพิจารณาเห็นโทษของกิเลสและการยึดติดในความสุขทางโลก เช่น ความไม่เที่ยงของสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เกิดทุกข์ จึงมีความต้องการที่จะหลุดพ้นจากกิเลสเหล่านั้น การเจริญเนกขัมมะเกิดขึ้นได้ด้วยการฝึกสมาธิ การฝึกวิปัสสนา และการพัฒนาปัญญาในการเห็นความจริงตามหลักไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา

บุคคลผู้มีปัญญา หมั่นเจริญฌานหรือปฏิบัติเพื่อกระทำฌานให้เกิดขึ้น ยินดีในเนกขัมมะคือการออกจากกาม ย่อมเป็นที่สรรเสริญของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย.