ผู้ (ดับกิเลสได้แล้วหมดความหวั่นไหว) นั้น รู้ที่สุดทั้งสองแล้ว ย่อมไม่ติดในท่ามกลางด้วยปัญญา เราเรียกผู้นั้นว่า เป็นมหาบุรุษ ผู้นั้นละตัณหาเครื่องเย็บร้อยใจในโลกนี้ได้แล้ว

โส อุภนฺตมภิญฺญาย

โส อุภนฺตมภิญฺญาย     มชฺเฌ มนฺตา น ลิมฺปติ
ตํ พฺรูมิ มหาปุริโสติ     โส อิธ สิพฺพนิมิจฺจคา.

[คำอ่าน]

โส, อุ-พัน-ตะ-มะ-พิน-ยา-ยะ     มัด-เช, มัน-ตา, นะ, ลิม-ปะ-ติ
ตัง, พรู-มิ, มะ-หา-ปุ-ริ-โส-ติ     โส, อิ-ทะ, สิบ-พะ-นิ-มิด-จะ-คา

[คำแปล]

“ผู้ (ดับกิเลสได้แล้วหมดความหวั่นไหว) นั้น รู้ที่สุดทั้งสองแล้ว ย่อมไม่ติดในท่ามกลางด้วยปัญญา เราเรียกผู้นั้นว่า เป็นมหาบุรุษ ผู้นั้นละตัณหาเครื่องเย็บร้อยใจในโลกนี้ได้แล้ว.”

(พุทฺธ) ขุ.สุ. 25/532, ขุ.จู 30/35.

บุคคลที่สามารถดับกิเลสได้อย่างสมบูรณ์ จะไม่ถูกความโลภ ความโกรธ และความหลงมาครอบงำจิตใจอีกต่อไป ความหวั่นไหวที่เกิดจากกิเลสจะหายไปหมดสิ้น จิตใจของเขาจะเต็มไปด้วยความสงบและปราศจากความทุกข์ที่คอยบั่นทอนจิตใจ

คำว่า ที่สุดทั้งสอง ในที่นี้หมายถึงที่สุดเบื้องต้นอันได้แก่อวิชชา และที่สุดเบื้องปลายคือพระนิพาน

อวิชชา ได้แก่ ความไม่รู้จริง ความหลงอันเป็นเหตุไม่รู้จริง มี 4 คือ ความไม่รู้อริยสัจ 4 แต่ละอย่าง คือ ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดแห่งทุกข์ ไม่รู้ความดับทุกข์ ไม่รู้ทางให้ถึงความดับทุกข์ เมื่อบุคคลทราบที่สุดเบื้องต้นคืออวิชชาอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว ย่อมทราบที่สุดเบื้องปลายคือพระนิพพาน คือบรรลุอรหัตตผลเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ ตัดกิเลสตายคลายกิเลสหลุด ผุดเป็นพระอริยสงฆ์ในพุทธศาสนา ไม่ติดในท่ามกลางคือพ้นจากอำนาจของกิเลสทั้งปวงโดยสิ้นเชิง

บุคคลผู้ได้บรรลุอรหัตผลดังกล่าวแล้ว ย่อมสามารถละทิ้งตัณหาอันเป็นเครื่องเย็บร้อยใจให้ติดอยู่กับโลก ตัณหาคือความอยาก ความปรารถนาที่ก่อให้เกิดความทุกข์ เมื่อบุคคลละทิ้งตัณหาได้แล้ว ย่อมจะไม่ถูกผูกมัดด้วยความยึดติดในโลกและจะไม่เวียนวนอยู่ในวัฏสงสารอีกต่อไป บุคคลเช่นนี้ได้ชื่อว่าเป็นมหาบุรุษ คือเป็นบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในพุทธศาสนา.