เมื่อเขาขอโทษ ถ้าผู้ใดมีความขุ่นเคือง โกรธจัด ไม่ยอมรับ ผู้นั้นชื่อว่าหมกเวรไว้

อจฺจยํ เทสยนฺตีนํ

อจฺจยํ เทสยนฺตีนํ     โย เจ น ปฏิคณฺหติ
โกปนฺตโร โทสครุ     ส เวรํ ปฏิมุจฺจติ.

[คำอ่าน]

อัด-จะ-ยัง, โท-สะ-ยัน-ตี-นัง     โย, เจ, นะ, ปะ-ติ-คัน-หะ-ติ
โก-ปัน-ตะ-โร, โท-สะ-คะ-รุ     สะ, เว-รัง, ปะ-ติ-มุด-จะ-ติ

[คำแปล]

“เมื่อเขาขอโทษ ถ้าผู้ใดมีความขุ่นเคือง โกรธจัด ไม่ยอมรับ ผู้นั้นชื่อว่าหมกเวรไว้.”

(เทวตา) สํ.ส. 15/34.

การให้อภัยเป็นหนึ่งในคุณธรรมที่สำคัญในการดำเนินชีวิต หลายครั้งในชีวิตประจำวัน เราต้องพบกับสถานการณ์ที่ทำให้เราไม่พอใจ โกรธ หรือขุ่นเคืองจากการกระทำหรือคำพูดของผู้อื่น แต่การตอบโต้ด้วยความโกรธหรือการไม่ให้อภัยกลับทำให้เราสะสมพลังลบเอาไว้ในจิตใจ การเรียนรู้ที่จะให้อภัยเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเองในการปล่อยวางความทุกข์ใจ

การให้อภัยมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อมีคนขอโทษเรา หากเราไม่สามารถปล่อยวางความโกรธ ความขุ่นเคืองได้ เราก็จะเป็นคนที่ “หมกเวร” ไว้ในใจ ซึ่งคำว่า “หมกเวร” นั้นหมายถึงการสะสมความโกรธแค้นไว้ในจิตใจ การยึดติดกับความโกรธหรือความผิดที่คนอื่นทำให้เราเจ็บปวดนั้นเหมือนกับการสะสมเวรกรรมให้กับตัวเอง ส่งผลให้จิตใจไม่สงบและไม่มีความสุข

การขอโทษเป็นการแสดงออกถึงความสำนึกผิดและการยอมรับความผิดพลาดที่ได้เกิดขึ้น ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการแก้ไขความสัมพันธ์ที่อาจเสียหายไป แต่บางครั้ง แม้ว่าเราจะได้รับคำขอโทษแล้ว แต่จิตใจของเรายังไม่พร้อมที่จะยอมรับหรือปล่อยวางความโกรธ ความรู้สึกแบบนี้ทำให้เราตกอยู่ในวงจรของความทุกข์และความไม่พอใจ ซึ่งในทางธรรมะมองว่าเป็นการ “หมกเวร” ไว้ นั่นคือการแบกรับภาระที่หนักหน่วงทางจิตใจโดยไม่จำเป็น

การให้อภัยเป็นการปลดปล่อยตัวเราเองจากความรู้สึกหนักใจและความโกรธแค้น หากเรายังคงถือความโกรธไว้ มันก็เหมือนการดื่มยาพิษแล้วหวังให้คนอื่นเจ็บปวด แต่แท้จริงแล้วผู้ที่ทุกข์ทนที่สุดก็คือเราเอง การให้อภัยจึงเป็นการหยุดวงจรของความทุกข์และความโกรธแค้น การปล่อยวางเช่นนี้ช่วยให้จิตใจเราสงบและเปิดใจรับพลังบวกใหม่ ๆ ได้เสมอ

ดังนั้น เมื่อคนอื่นกระทำผิดต่อเรา ไม่ว่าจะเป็นทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ หากเขาขอโทษก็พึงให้อภัยเสีย หรือแม้ว่าเขาจะไม่ขอโทษ ก็พึงให้อภัยโดยไม่หวังคำขอโทษจากเขาเลย การทำเช่นนี้จะเป็นการชำระความทุกข์ออกจากจิตใจของเราเอง.