ความโกรธเกิดขึ้นแก่คนเขลาไม่รู้แจ้ง เพราะความแข่งดี เขาย่อมถูกความโกรธนั้นแลเผา

เอวํ มนฺทสฺส โปสสฺส

เอวํ มนฺทสฺส โปสสฺส     พาลสฺส อวิชานโต
สารมฺภา ชายเต โกโธ     โสปิ เตเนว ฑยฺหติ.

[คำอ่าน]

เอ-วัง, มัน-ทัด-สะ, โป-สัด-สะ     พา-ลัด-สะ, อะ-วิ-ชา-นะ-โต
สา-รำ-พา, ชา-ยะ-เต, โก-โท     โส-ปิ, เต-เน-วะ, ทัย-หะ-ติ

[คำแปล]

“ความโกรธเกิดขึ้นแก่คนเขลาไม่รู้แจ้ง เพราะความแข่งดี เขาย่อมถูกความโกรธนั้นแลเผา.”

(โพธิสตฺต) ขุ.ชา.ทสก. 27/280.

ความโกรธ เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลรู้สึกไม่พอใจ หรือถูกขัดใจจากผู้อื่น จนทำให้จิตใจเร่าร้อน ขาดเหตุผล และควบคุมตนเองไม่ได้ พระพุทธเจ้าจึงทรงเปรียบเปรยว่า ความโกรธเหมือนไฟที่ลุกโชน ซึ่งเรียกว่า “โทสคฺคิ” หรือไฟคือโทสะ เมื่อความโกรธเกิดขึ้นก็เหมือนจิตใจถูกไฟเผาผลาญ ส่งผลให้เราทำร้ายผู้อื่นทั้งทางกายและวาจา

หากบุคคลไม่สามารถควบคุมความโกรธไว้ได้ ย่อมอาจหลุดพูดถ้อยคำหยาบคาย ด่าว่า หรือถึงขั้นกระทำความรุนแรงต่อผู้อื่น และหากความโกรธขยายใหญ่ขึ้นมาก ๆ ก็อาจทำให้คน ๆ หนึ่งกล้าทำลายชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น ซึ่งเป็นเหตุแห่งความเดือดร้อนใหญ่หลวง และอาจนำไปสู่หายนะที่รุนแรงที่สุดในสังคม

ความโกรธสามารถเกิดขึ้นได้จากเหตุ 2 ประเภท คือ เหตุภายนอก และเหตุภายใน เหตุภายนอกคือสิ่งที่มากระทบจากภายนอก เช่น คำพูด การกระทำของผู้อื่น หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่ถูกใจ ส่วนเหตุภายในคือกิเลสที่สิงอยู่ในจิตใจของเราเอง เช่น ความริษยา ความอาฆาต ความไม่พอใจ ความดื้อดึง ความดันทุรัง รวมถึงความยึดมั่นถือมั่นต่าง ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นต้นเหตุของความโกรธในระดับลึก

นอกจากนี้ ความโกรธยังสัมพันธ์กับอายตนะภายใน เช่น การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การสัมผัส หรือแม้แต่ความคิดที่ไม่ชอบใจ ก็สามารถทำให้เกิดความโกรธขึ้นได้ทั้งสิ้น ความโกรธนี้ไม่ได้นำพาอะไรดี ๆ มาเลย นอกจากทำให้ใจขุ่นมัว ร้อนรุ่ม และอาจนำไปสู่การกระทำที่ผิดศีลธรรม

พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า วิธีดับความโกรธอย่างได้ผล คือ การเจริญเมตตา มีความกรุณาต่อผู้อื่น ฝึกใจให้เย็น ให้อภัย และไม่ยึดติด การฝึกเมตตานี้จะช่วยให้เราควบคุมตนเองได้ดีขึ้น ไม่ปล่อยให้ไฟโทสะเผาผลาญจิตใจ และนำไปสู่ความสงบเย็นทั้งต่อตนเองและผู้ที่อยู่รอบข้าง.