ภิกษุไม่ควรหวั่นไหวเพราะนินทา ได้รับสรรเสริญก็ไม่ควรเหิมใจ พึงบรรเทาความโลภกับความตระหนี่ ความโกรธ และความส่อเสียด
นินฺทาย นปฺปเวเธยฺย
น อุณฺณเมยฺย ปสํสิโต ภิกฺขุ
โลภํ สห มจฺฉริเยน
โกธํ เปสุณิยญฺจ ปนุเทยฺย.
[คำอ่าน]
นิน-ทา-ยะ, นับ-ปะ-เว-ไท-ยะ
นะ, อุน-นะ-ไม-ยะ, ปะ-สัง-สิ-โต, พิก-ขุ
โล-พัง, สะ-หะ, มัด-ฉะ-ริ-เย-นะ
โก-ทัง, เป-สุ-นิ-ยัน-จะ, ปะ-นุ-ไท-ยะ
[คำแปล]
“ภิกษุไม่ควรหวั่นไหวเพราะนินทา ได้รับสรรเสริญก็ไม่ควรเหิมใจ พึงบรรเทาความโลภกับความตระหนี่ ความโกรธ และความส่อเสียด.”
(พุทฺธ) ขุ.สุ. 25/516, ขุ.มหา. 29/464, 466.
คำว่า “โลกธรรม” หมายถึง ธรรมดาของโลก หรือสภาวะที่เวียนเปลี่ยนไปตามวิถีแห่งชีวิตซึ่งทุกคนล้วนต้องประสบ ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือผู้ที่บวชเป็นสมณะ โลกธรรมมีทั้งหมดแปดประการ แบ่งออกเป็นคู่ ๆ ได้แก่ ได้ลาภ–เสียลาภ, มียศ–เสื่อมยศ, สรรเสริญ–นินทา, สุข–ทุกข์ ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นของไม่เที่ยง ไม่ควรยึดถือหรือยินดียินร้ายจนเกินพอดี
สำหรับผู้ที่เป็นภิกษุ ซึ่งละเพศฆราวาสเพื่อแสวงหาทางพ้นทุกข์นั้น ยิ่งต้องไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรมเหล่านี้ เพราะภิกษุเป็นผู้ที่ตั้งใจฝึกฝนตนให้หลุดพ้นจากการยึดติดในโลก ไม่ควรให้ใจถูกครอบงำโดยสิ่งสมมุติที่เกิดขึ้น ซึ่งล้วนแปรเปลี่ยนได้ตลอดเวลา
เมื่อภิกษุถูกนินทา หรือถูกติฉินนินทาโดยคนรอบข้าง ไม่ว่าจะด้วยเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ ก็มิควรโกรธเกลียดหรือหวั่นไหว เพราะการโกรธตอบนั้นเท่ากับแพ้ภัยตนเอง อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มอกุศลในใจ ภิกษุควรใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นว่าคำนินทานั้นเป็นเพียงลมปาก มิได้ทำให้คุณค่าภายในจิตของตนลดลง หากตนไม่ยึดติดกับคำพูดนั้น
ในทางกลับกัน เมื่อภิกษุได้รับคำสรรเสริญ ว่าดี ว่าประเสริฐ ก็ไม่ควรยินดีจนเห่อเหิมหรือหลงระเริง เพราะคำสรรเสริญอาจเป็นเพียงภาพลวงตา หรือเป็นผลจากความประทับใจชั่วขณะ หากยึดถือจนหลงตน ย่อมกลายเป็นเครื่องถ่วงความก้าวหน้าในธรรม ภิกษุควรรู้เท่าทันคำชม และใช้เป็นเพียงกระจกสะท้อนตน ไม่ใช่เครื่องยึดมั่นถือมั่น
นอกจากนี้ ภิกษุควรบรรเทาความโลภ ไม่ติดข้องในลาภสักการะหรือสิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ ไม่แสดงความอยาก ควรเป็นผู้มักน้อย สันโดษ และพอใจในสิ่งจำเป็นเท่านั้น เพราะโลภะย่อมทำให้จิตเศร้าหมอง และห่างไกลจากความสงบ
นอกจากนี้ ภิกษุยังควรละความตระหนี่ ความโกรธ และความส่อเสียด เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอุปสรรคต่อการฝึกตน ความตระหนี่ทำให้ไม่แบ่งปัน ความโกรธทำให้จิตไม่ผ่องใส ส่วนความส่อเสียดทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่คณะ ภิกษุที่ยังไม่ละสิ่งเหล่านี้ย่อมไม่อาจบรรลุเป้าหมายสูงสุดของชีวิตสมณะได้
ด้วยเหตุนี้ ความเป็นภิกษุที่แท้จริง จึงมิได้อยู่เพียงที่ผ้าไตรจีวรหรือการแยกตนออกจากฆราวาสเท่านั้น หากแต่อยู่ที่จิตใจที่มั่นคง ไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรม และมุ่งมั่นลดละกิเลสอย่างแท้จริง ผู้ที่ประพฤติเช่นนี้เท่านั้น จึงสมควรแก่การอยู่ในภาวะแห่งสมณะ และเป็นเนื้อนาบุญของโลกอย่างแท้จริง.