ผู้ฉลาดควรละเครื่องกั้นจิต 5 ประการ กำจัดอุปกิเลสทั้งหมด ตัดรักและชังแล้ว อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้ พึงเที่ยวไปผู้เดียว เหมือนนอแรด ฉะนั้น

ปหาย ปญฺจาวรณานิ เจตโส อุปกฺกิเลเส พฺยปนุชฺช สพฺเพ

ปหาย ปญฺจาวรณานิ เจตโส
อุปกฺกิเลเส พฺยปนุชฺช สพฺเพ
อนิสฺสิโต เฉตฺวา สิเนหโทสํ
เอโก จเร ขคฺควิสาณกปฺโป.

[คำอ่าน]

ปะ-หา-ยะ, ปัน-จา-วะ-ระ-นา-นิ, เจ-ตะ-โส
อุ-ปัก-กิ-เล-เส, พะ-ยะ-ปะ-นุด-ชะ, สับ-เพ
อะ-นิด-สิ-โต, เฉด-ตะ-วา, สิ-เน-หะ-โท-สัง
เอ-โก, จะ-เร, ขัก-คะ-วิ-สา-นะ-กับ-โป

[คำแปล]

“ผู้ฉลาดควรละเครื่องกั้นจิต 5 ประการ กำจัดอุปกิเลสทั้งหมด ตัดรักและชังแล้ว อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้ พึงเที่ยวไปผู้เดียว เหมือนนอแรด ฉะนั้น.”

(พุทฺธ) ขุ.สุ. 25/338, ขุ.จู. 30/410.

บุคคลผู้ฉลาด ในทางธรรม คือผู้ที่รู้จักพิจารณาเห็นโทษแห่งกิเลส และแสวงหาหนทางเพื่อความหลุดพ้นจากสังสารวัฏ เขาย่อมไม่ปล่อยชีวิตให้ล่องลอยตามอำนาจของความยินดีและความยึดมั่นถือมั่น แต่ตั้งใจฝึกตน ขัดเกลากิเลส และมุ่งสู่ความสงบเย็นแห่งจิตอย่างแท้จริง ซึ่งหนทางเบื้องต้นของการปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรม ก็คือการละ “นิวรณ์ 5 ประการ” อันเป็นเครื่องกั้นจิตไม่ให้เจริญก้าวหน้า

นิวรณ์ 5 ประการ ได้แก่ กามฉันท์ (ความพอใจในกาม), พยาบาท (ความโกรธ), ถีนมิทธะ (ความง่วงเหงาเซื่องซึม), อุทธัจจกุกกุจจะ (ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ), และวิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย) บุคคลผู้ฉลาดย่อมเห็นชัดว่านิวรณ์ทั้งห้านี้เป็นเครื่องกั้นใจไม่ให้สงบ เป็นเหมือนม่านหมอกที่บดบังปัญญา ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงธรรมได้ จึงควรเพียรพยายามละเสียให้หมดด้วยสติและสมาธิ

เมื่อสามารถลดละนิวรณ์ลงได้แล้ว ขั้นต่อไปคือการ กำจัดอุปกิเลส ซึ่งเป็นกิเลสเบื้องต่ำที่หมักหมมในจิต เช่น ความริษยา ความโอ้อวด ความถือตัว ความตระหนี่ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้แม้ดูเล็กน้อย แต่หากปล่อยไว้ไม่ชำระ ย่อมสะสมเป็นแรงขับเคลื่อนที่ดึงจิตใจให้เศร้าหมอง และห่างไกลจากความบริสุทธิ์

นอกจากนั้น ผู้ใฝ่ในธรรมยังต้อง ตัดความรักและความชัง ให้ได้ เพราะความรักอย่างยึดมั่นย่อมนำไปสู่ความยึดติด ส่วนความชังย่อมนำไปสู่ความเกลียดและเบียดเบียน ทั้งสองอย่างล้วนเป็นเครื่องผูกจิตให้อยู่ในวัฏฏะ ผู้มีปัญญาจึงพึงฝึกวางใจเป็นกลาง ไม่เอนเอียงไปในทางของความยินดีหรือยินร้าย ให้จิตว่างจากความยึดมั่นทั้งปวง

ตัณหาและทิฏฐิ เป็นรากเหง้าของการเวียนว่ายตายเกิด ตัณหาคือความทะยานอยาก ทิฏฐิ หมายเอามิจฉาทิฏฐิ คือความเห็นผิด บุคคลผู้ปรารถนาธรรมจึงควรเพียรละสิ่งเหล่านี้ออกจากใจให้ได้ ไม่หลงติดอยู่กับความอยากได้ อยากเป็น หรือยึดถือความเห็นของตนอย่างแข็งกระด้าง การละตัณหาและทิฏฐินั้น เป็นพื้นฐานของการพัฒนาปัญญาให้เห็นความจริงตามที่มันเป็น

อีกประการหนึ่งที่สำคัญคือการ อยู่คนเดียว ไม่ข้องเกี่ยวกับหมู่คณะ มิใช่เพราะเกลียดชังผู้อื่น แต่เพื่อฝึกใจให้เป็นอิสระ ไม่ผูกพันกับความสัมพันธ์อันเป็นเหตุก่อทุกข์ ผู้ฉลาดรู้ว่า การปลีกวิเวกทำให้มีโอกาสได้พิจารณาตน ขัดเกลาจิต และบำเพ็ญเพียรได้ดียิ่งขึ้น เป็นเครื่องสนับสนุนการปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่

การปฏิบัติเช่นนี้ทั้งหมด เป็นเส้นทางของผู้ใฝ่ในนิพพาน ไม่ใช่เรื่องของผู้แสวงหาความสุขทางโลก แต่เป็นแนวทางของผู้แสวงหาความหลุดพ้นอย่างแท้จริง หากใครสามารถดำเนินชีวิตโดยยึดหลักเหล่านี้ได้ ย่อมสามารถที่จะเข้าถึงสภาวะที่สงบเย็น ปราศจากความทุกข์โดยสิ้นเชิง

เพราะฉะนั้น ผู้มีปัญญา ย่อมไม่มัวรอเวลา ไม่ประมาทในชีวิต แต่รีบเร่งขจัดนิวรณ์ กำจัดกิเลส ละความยึดมั่น และตั้งมั่นในความเพียรเพื่อความหลุดพ้น สิ่งเหล่านี้แหละคือเส้นทางแห่งพระนิพพาน ซึ่งหาใช่หนทางที่ไกลเกินเอื้อมไม่ หากมีความตั้งใจจริง ก็สามารถเข้าถึงได้ไม่ช้าก็เร็ว.