ผู้ใดมีสติเฉพาะหน้า เจริญเมตตาไม่มีประมาณ สังโยชน์ของผู้เห็นความสิ้นแห่งอุปธินั้น ย่อมเบาบาง

โย จ เมตฺตํ ภาวยติ อปฺปมาณํ ปฏิสฺสโต

โย จ เมตฺตํ ภาวยติ     อปฺปมาณํ ปฏิสฺสโต
ตนู สํโยชนา โหนฺติ     ปสฺสโต อุปธิกฺขยํ.

[คำอ่าน]

โย, จะ, เมด-ตัง, พา-วะ-ยะ-ติ     อับ-ปะ-มา-นัง, ปะ-ติด-สะ-โต
ตะ-นู, สัง-โย-ชะ-นา, โหน-ติ     ปัด-สะ-โต, อุ-ปะ-ทิก-ขะ-ยัง

[คำแปล]

“ผู้ใดมีสติเฉพาะหน้า เจริญเมตตาไม่มีประมาณ สังโยชน์ของผู้เห็นความสิ้นแห่งอุปธินั้น ย่อมเบาบาง.”

(พุทฺธ) องฺ.อฏฺฐก. 23/152.

ผู้มีสติเฉพาะหน้า คือผู้ที่ตั้งสติระลึกรู้ตัวอยู่เสมอ ไม่ปล่อยให้ใจล่องลอยไปตามอำนาจของอารมณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสุข ทุกข์ หรือเฉย ๆ เป็นผู้ที่มีความไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต ยึดหลักการมีสติเป็นหลักสำคัญในการปฏิบัติธรรม การมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกนั้น เป็นการเจริญสติที่ช่วยให้สามารถควบคุมตนเองและดำรงอยู่ในธรรมได้

อุปธิ หมายถึงเครื่องผูกหรือสิ่งที่ยึดเหนี่ยวใจให้ติดข้อง ได้แก่ กาม คือ ความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย, กิเลส ได้แก่ ความโลภ โกรธ หลง, เบญจขันธ์ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอภิสังขาร คือ ความคิดปรุงแต่งที่สืบเนื่องจากความยึดมั่นเหล่านี้ บุคคลผู้มีสติย่อมสามารถพิจารณาเห็นอุปธิเหล่านี้ตามความเป็นจริง

เมื่อบุคคลมีสติเฉพาะหน้าอย่างนี้ และเจริญเมตตาภาวนา แผ่เมตตาคือความรักความปรารถนาดีไปยังสัตว์ทั้งหลายโดยไม่เลือกที่รักผลักที่ชัง ไม่จำกัดว่าเป็นมิตรหรือศัตรู แต่แผ่ไปทั่วอย่างเสมอภาค ด้วยจิตที่บริสุทธิ์ปราศจากอคติ เมตตานั้นจึงเป็นธรรมที่กลั่นจิตให้ละเอียดและอ่อนโยนยิ่งขึ้น

เขาพิจารณาเห็นอุปธิทั้งหลายว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น จิตที่ฝึกให้เห็นความจริงดังกล่าวย่อมค่อย ๆ คลายความยึดมั่นในอุปธิลง

เมื่อจิตคลายจากอุปธิแล้ว ย่อมมุ่งตรงไปสู่พระนิพพาน ซึ่งเป็นที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ทั้งหลาย ผู้ที่ตั้งสติพิจารณาเช่นนี้ย่อมเห็นหนทางแห่งความหลุดพ้นอย่างแจ่มแจ้ง

เมื่อทำได้ดังนี้ สังโยชน์คือเครื่องร้อยรัดที่ทำให้เวียนว่ายตายเกิด ย่อมค่อย ๆ เบาบางลง ตามลำดับ และจะหมดไปได้ในที่สุด.