คนผู้ตื่นขึ้นแล้ว ย่อมไม่เห็นอารมณ์อันประจวบด้วยความฝัน ฉันใด คนผู้อยู่ ย่อมไม่เห็นชนอันตนรักทำกาละล่วงไปแล้ว ฉันนั้น
สุปิเนน ยถาปิ สงฺคตํ
ปฏิพุทฺโธ ปุริโส น ปสฺสติ
เอวมฺปิ ปิยายิตํ ชนํ
เปตํ กาลกตํ น ปสฺสติ.
[คำอ่าน]
สุ-ปิ-เน-นะ, ยะ-ถา-ปิ, สัง-คะ-ตัง
ปะ-ติ-พุด-โท, ปุ-ริ-โส, นะ, ปัด-สะ-ติ
เอ-วำ-ปิ, ปิ-ยา-ยิ-ตัง, ชะ-นัง
เป-ตัง, กา-ละ-กะ-ตัง, นะ, ปัด-สะ-ติ
[คำแปล]
“คนผู้ตื่นขึ้นแล้ว ย่อมไม่เห็นอารมณ์อันประจวบด้วยความฝัน ฉันใด คนผู้อยู่ ย่อมไม่เห็นชนอันตนรักทำกาละล่วงไปแล้ว ฉันนั้น.”
(พุทฺธ) ขุ.ส. 25/492., ขุ.มหา. 29/151,152.
ความฝันเป็นเพียงภาพลวงตาที่เกิดขึ้นในยามหลับ แม้ขณะฝัน เราอาจเห็นสิ่งต่าง ๆ ชัดเจนเหมือนจริง แต่เมื่อเราตื่นขึ้น ภาพเหล่านั้นก็หายไปทันที ไม่อาจพบเห็นได้อีก ความฝันจึงเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่จีรัง
ในทำนองเดียวกัน ความสัมพันธ์ในโลกก็เป็นเช่นนั้น คนที่เรารักและผูกพันอย่างลึกซึ้ง แม้เคยอยู่ใกล้ชิดกัน แต่เมื่อถึงคราวที่เขาทำกาละล่วงไป คือสิ้นชีวิตจากไปแล้ว เราก็ไม่อาจพบเจอเขาได้อีกต่อไป
ดังนั้นพระพุทธพจน์นี้จึงเปรียบไว้ว่า “คนผู้ตื่นขึ้นแล้ว ย่อมไม่เห็นอารมณ์อันประจวบด้วยความฝัน ฉันใด คนผู้อยู่ ย่อมไม่เห็นชนอันตนรักทำกาละล่วงไปแล้ว ฉันนั้น” เป็นการเตือนให้ตระหนักถึงความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง
ในยามฝัน เราอาจหัวเราะ อาจร้องไห้ หรือหวาดกลัว แต่เมื่อเราตื่น สิ่งเหล่านั้นก็ไม่มีความหมาย เช่นเดียวกับเมื่อบุคคลที่เรารักจากไป ทุกความผูกพันก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจยึดถือได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม อนิจจตาคือความไม่เที่ยงนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เราควรนึกถึงแล้วเกิดความหดหู่ แต่คือความจริงอันควรทำความเข้าใจ เพราะเมื่อเรารู้ว่า ทุกสิ่งย่อมมีวันจากพราก เราจะรู้จักใช้เวลาที่มีอยู่กับคนที่เรารักอย่างมีคุณค่า และไม่ประมาทในชีวิต
การเปรียบเทียบความรักกับความฝัน ยังชี้ให้เห็นว่า ความยึดติดในสิ่งที่ล่วงไปแล้วมีแต่จะก่อทุกข์ เช่นเดียวกับการพยายามยึดติดในความฝันที่ผ่านไปแล้ว ซึ่งไม่อาจหวนกลับมาได้อีก
พระพุทธเจ้าทรงสอนให้มองสิ่งเหล่านี้ด้วยปัญญา ไม่ใช่ด้วยอารมณ์ หากใช้ปัญญาพิจารณา เราจะเห็นตามจริงว่า ความตายเป็นธรรมดา ความพลัดพรากเป็นธรรมดา เมื่อเข้าใจเช่นนี้ ใจจะค่อย ๆ คลายความเศร้าและยอมรับความจริงได้
การฝึกใจเช่นนี้มิได้หมายความว่าให้ละเลยความรัก แต่คือการรักด้วยสติ รักอย่างไม่ประมาท รู้คุณค่าของการมีอยู่ในปัจจุบัน โดยไม่ผูกพันจนเกิดทุกข์เมื่อถึงเวลาที่ต้องจากกัน
เมื่อเราตั้งมั่นอยู่ในธรรม ความตายของคนที่เรารักจะไม่กลายเป็นความสูญเสียที่ทำให้เราจมอยู่ในความทุกข์ แต่จะเป็นเครื่องเตือนให้เราใช้ชีวิตอย่างมีสติ มีเมตตา และไม่ประมาทยิ่งขึ้น
ดังนั้น ผู้ที่เข้าใจความจริงข้อนี้ ย่อมเปรียบได้กับผู้ตื่นแล้ว ไม่หลงยึดอยู่ในความฝัน ไม่ติดอยู่กับสิ่งที่ผ่านพ้นไป แต่ใช้ปัจจุบันเป็นทางแห่งการปฏิบัติ และอยู่กับความจริงด้วยใจที่สว่างและสงบ.