ถ้าพึงเห็นสุขอันไพบูลย์ เพราะยอมเสียสละสุขส่วนน้อย ผู้มีปัญญาเล็งเห็นสุขอันไพบูลย์ ก็ควรสละสุขส่วนน้อยเสีย

มตฺตาสุขปริจฺจาคา ปสฺเส เจ วิปุลํ สุขํ จเช มตฺตาสุขํ ธีโร สมฺปสฺสํ วิปุลํ สุขํ

มตฺตาสุขปริจฺจาคา     ปสฺเส เจ วิปุลํ สุขํ
จเช มตฺตาสุขํ ธีโร     สมฺปสฺสํ วิปุลํ สุขํ.

[คำอ่าน]

มัด-ตา-สุ-ขะ-ปะ-ริด-จา-คา…..ปัด-เส, เจ, วิ-ปุ-ลัง, สุ-ขัง
จะ-เช, มัด-ตา-สุ-ขัง, ที-โร…..สำ-ปัด-สัง, วิ-ปุ-ลัง, สุ-ขัง

[คำแปล]

“ถ้าพึงเห็นสุขอันไพบูลย์ เพราะยอมเสียสละสุขส่วนน้อย ผู้มีปัญญาเล็งเห็นสุขอันไพบูลย์ ก็ควรสละสุขส่วนน้อยเสีย.”

(พุทฺธ) ขุ.ธ. 25/53.

คำว่า “สุขส่วนน้อย” หมายถึงความสุขที่เกิดจากกามคุณ 5 ซึ่งประกอบไปด้วย รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส ความสุขนี้จัดว่าเป็นสุขที่อยู่ในระดับโลกียะ และมักเจือปนด้วยกิเลสต่างๆ ทำให้ความสุขชนิดนี้ไม่มีความยั่งยืนและไม่คงทน เมื่อได้มาแล้วก็สามารถเสื่อมสูญไปได้ตามกาลเวลา นอกจากนี้ยังทำให้สรรพสัตว์หลงติดอยู่ในวัฏสงสาร ไม่สามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ในวัฏสงสารได้

สุขส่วนน้อยนี้ แม้จะทำให้ผู้คนรู้สึกมีความสุขในขณะนั้น แต่กลับเป็นความสุขที่มาพร้อมกับการดิ้นรนแสวงหาและความไม่รู้จักพอใจ เมื่อความสุขในกามคุณเหล่านี้เสื่อมสลายไป ย่อมนำพาความทุกข์และความเศร้าโศกมาแทนที่ ทำให้ผู้คนต้องวนเวียนอยู่ในความทุกข์ไม่รู้จบ

คำว่า “สุขอันไพบูลย์” หมายถึงพระนิพพาน ซึ่งเป็นสุขที่ไม่เจือด้วยกิเลส เป็นสุขที่ถาวรและไม่เสื่อมสูญ ความสุขนี้เกิดจากการปล่อยวางและการละทิ้งกิเลสต่างๆ ที่ผูกมัดจิตใจของเรา ทำให้เกิดสภาวะของความสงบและการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง

พระนิพพานถือเป็นเป้าหมายสูงสุดในทางพุทธศาสนา เป็นสภาวะที่ไม่มีความทุกข์และความไม่สบายใจอยู่เลย เป็นสุขที่ไม่มีวันเสื่อมสลาย เมื่อบุคคลได้เข้าถึงพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่มีการเกิด การแก่ การเจ็บ หรือการตายอีกต่อไป เป็นความสุขที่ยั่งยืนและเป็นอมตะ

บุคคลที่มีปัญญาย่อมเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างสุขส่วนน้อยและสุขอันไพบูลย์ จึงมุ่งหน้าปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุพระนิพพาน โดยสละสุขส่วนน้อยซึ่งเป็นสุขชั่วคราว และมุ่งหวังสุขที่ยั่งยืนและแท้จริง

การบรรลุสุขอันไพบูลย์จำเป็นต้องอาศัยการฝึกฝนจิตใจและการปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง โดยการละเว้นจากกามคุณ 5 และการละทิ้งกิเลสทั้งปวง เมื่อทำได้แล้ว ย่อมเข้าสู่สภาวะของพระนิพพาน ซึ่งเป็นสุขที่แท้จริงและไม่มีวันเสื่อมสลาย.