ห้วงน้ำที่เต็มฝั่ง พึงพัดต้นไม้ซึ่งเกิดที่ตลิ่งไป ฉันใด สัตว์มีชีวิตทั้งปวงย่อมถูกความแก่และความตายพัดไป ฉันนั้น
ยถา วาริวโห ปูโร วเห รุกฺเข ปกูลเช
เอวํ ชราย มรเณน วุยฺหนฺเต สพฺพปาณิโน.
[คำอ่าน]
ยะ-ถา, วา-ริ-วะ-โห, ปู-โร…..วะ-เห, รุก-เข, ปะ-กู-ละ-เช
เอ-วัง, ชะ-รา-ยะ, มะ-ระ-เน-นะ…..วุย-หัน-เต, สับ-พะ-ปา-นิ-โน
[คำแปล]
“ห้วงน้ำที่เต็มฝั่ง พึงพัดต้นไม้ซึ่งเกิดที่ตลิ่งไป ฉันใด สัตว์มีชีวิตทั้งปวงย่อมถูกความแก่และความตายพัดไป ฉันนั้น.”
(เตมิยโพธิสตฺต) ขุ.ชา.มหา. 28/164.
ธรรมดาน้ำในแม่น้ำลำคลองย่อมกัดเซาะตลิ่งอยู่ตลอดเวลา ยิ่งในเวลาที่น้ำหลาก มีกระแสน้ำไหลแรงเชี่ยวกราก กำลังของน้ำที่เซาะตลิ่งก็ยิ่งแรงไปด้วย ทำให้ตลิ่งพังได้เร็วขึ้น สามารถทำให้ต้นไม้น้อยใหญ่ที่เกิดอยู่ริมตลิ่งโค่นล้มได้ และเมื่อต้นไม้เหล่านั้นโค่นลงในแม่น้ำแล้วก็ย่อมถูกกระแสน้ำพัดไป
ชีวิตของคนและสัตว์ทั้งหลายก็เปรียบเหมือนกับต้นไม้ที่เกิดอยู่ริมตลิ่ง ย่อมถูกความแก่และความตายกัดเซาะอยู่ตลอดเวลา เมื่ออายุมากขึ้นก็เข้าใกล้ความแก่และความตายมากขึ้น ไม่สามารถที่จะหลบเลี่ยงได้ ต้องแก่และต้องตายกันทุกคน
ความแก่และความตายนั้นเป็นสัจธรรมที่ยั่งยืนสำหรับทุกชีวิต เป็นสิ่งที่แน่นอนสำหรับคนและสัตว์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนมั่งมีหรือคนจน คนดีหรือคนเลว ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด ๆ ทุกคนล้วนมีความแก่และความตายเป็นปลายทางของชีวิตทั้งสิ้น
เมื่อรู้ความจริงของชีวิตที่ต้องแก่และต้องตายแน่นอนดังนี้แล้ว บัณฑิตชนไม่พึงใช้ชีวิตด้วยความประมาท พึงใช้เวลาทุกวินาทีให้มีคุณค่ามากที่สุด ด้วยการหมั่นสร้างคุณงามความดี สร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตนเองและสังคม และหลีกเว้นจากบาปกรรมทั้งปวง เมื่อทำได้ดังนี้ ถึงคราวแก่ก็เป็นอันไม่แก่เปล่า ถึงคราวตายก็เป็นอันไม่ตายเปล่า ย่อมไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นคน.