ผู้ใดไม่ฆ่าเอง ไม่ให้ผู้อื่นฆ่า ไม่ชนะเอง ไม่ให้ผู้อื่นชนะ ผู้นั้นชื่อว่ามีเมตตาต่อสัตว์ทั้งปวง และไม่มีเวรกับใคร ๆ
โย น หนฺติ น ฆาเตติ น ชินาติ น ชาปเย
เมตฺตโส สพฺพภูตานํ เวรนฺตสฺส น เกนจิ.
[คำอ่าน]
โย, นะ, หัน-ติ, นะ, คา-เต-ติ นะ, ชิ-นา-ติ, นะ, ชา-ปะ-เย
เมด-ตะ-โส, สับ-พะ-พู-ตา-นัง เว-รัน-ตัด-สะ, นะ, เก-นะ-จิ
[คำแปล]
ผู้ใดไม่ฆ่าเอง ไม่ให้ผู้อื่นฆ่า ไม่ชนะเอง ไม่ให้ผู้อื่นชนะ ผู้นั้นชื่อว่ามีเมตตาต่อสัตว์ทั้งปวง และไม่มีเวรกับใคร ๆ.
(พุทฺธ) องฺ.อฏฺฐก. 23/152.
ความเมตตาเป็นคุณธรรมอันประเสริฐที่ทำให้ชาวโลกทั้งปวงสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข เมตตาคือการมีน้ำใจคิดปรารถนาดีต่อกัน ไม่คิดทำร้ายหรือเบียดเบียนผู้อื่น เป็นคุณธรรมที่เปรียบเสมือนแสงสว่างที่นำพาชีวิตไปสู่ความสงบร่มเย็น
หากมนุษย์ทุกคนมีเมตตาประจำใจ โลกนี้ย่อมปราศจากการเข่นฆ่าและความรุนแรง เพราะรากฐานของความโหดร้ายทั้งหลายล้วนเกิดจากการขาดเมตตา เมื่อใจไม่คิดทำร้าย ความทุกข์จากการเบียดเบียนย่อมไม่เกิดขึ้น
บุคคลผู้มีเมตตาย่อมไม่มีความคิดที่จะฆ่าผู้อื่น เพราะการพรากชีวิตเป็นการกระทำที่ตรงกันข้ามกับความเมตตาอย่างสิ้นเชิง คนที่มีเมตตาย่อมมองเห็นคุณค่าในชีวิตของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่
ไม่เพียงแค่การฆ่าเท่านั้น แม้แต่ความคิดที่จะเบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อนก็ไม่มีในใจของผู้มีเมตตา เพราะเมตตาเปรียบเสมือนเกราะป้องกันไม่ให้ความโกรธ ความอิจฉา และความพยาบาทแทรกซึมเข้ามาในจิตใจ
ผู้มีเมตตาย่อมไม่คิดแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับใคร เพราะรู้ว่าความสุขที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการเอาชนะผู้อื่น แต่เกิดจากการเห็นผู้อื่นมีความสุข เมตตาจึงช่วยขัดเกลาความริษยาให้เบาบางลง
นอกจากนี้ การมีเมตตายังช่วยลดความรู้สึกแบ่งแยก “เรา” กับ “เขา” เพราะในสายตาของผู้มีเมตตา สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนมีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตและแสวงหาความสุขเช่นเดียวกัน การยอมรับความจริงข้อนี้ทำให้เกิดความเข้าใจและความสามัคคี
เมื่อบุคคลใดสามารถดำรงเมตตาในใจได้ เขาย่อมได้ชื่อว่ามีเมตตาต่อสัตว์ทั้งปวง ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่แบ่งแยกเพื่อนหรือศัตรู แต่มีเมตตาครอบคลุมไปยังทุกชีวิตที่อยู่ร่วมโลกเดียวกัน
ผู้ที่มีเมตตาย่อมไม่ก่อเวร คือไม่สร้างเวรกรรมกับใคร ๆ เพราะความเมตตาเป็นพลังที่ดับความโกรธและความแค้น เมื่อใจไม่คิดผูกเวร ความสัมพันธ์กับผู้อื่นก็เต็มไปด้วยความราบรื่น
ชีวิตของผู้มีเมตตาจึงเต็มไปด้วยความสงบร่มเย็น เพราะเขาไม่สร้างศัตรู ไม่สะสมความเกลียดชัง และไม่ก่อความทุกข์ให้แก่ใคร ๆ ความสงบนี้มิได้เกิดขึ้นกับเขาเพียงผู้เดียว แต่ยังแผ่ไปสู่ผู้คนรอบข้างด้วย
ในสังคมที่คนมีเมตตาต่อกัน จะไม่เกิดการเอารัดเอาเปรียบ ไม่เกิดการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ทุกคนต่างเกื้อกูลกันด้วยความปรารถนาดี ส่งผลให้สังคมนั้นสงบสุขและมั่นคงยิ่งขึ้น
ดังนั้น เมตตาจึงไม่ใช่เพียงคุณธรรมส่วนบุคคล แต่เป็นคุณธรรมสาธารณะที่ส่งผลต่อความสงบสุขของสังคมโดยรวม หากแต่ละคนฝึกฝนเมตตาในใจของตน โลกทั้งโลกก็จะเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความเอื้ออาทร
สรุปได้ว่า ความเมตตาคือรากฐานของความสงบทั้งในระดับบุคคลและระดับสังคม ผู้ที่มีเมตตาไม่คิดทำร้าย ไม่คิดเบียดเบียน ไม่ผูกเวรกับใคร ๆ ย่อมมีชีวิตที่สงบเย็น และเป็นกำลังสำคัญในการทำให้โลกนี้น่าอยู่ยิ่งขึ้น.