บัณฑิตละราคะ โทสะ และโมหะ ทำลายสังโยชน์ได้แล้ว ย่อมไม่หวาดเสียวในการสิ้นชีวิต พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น
ราคญฺจ โทสญฺจ ปหาย โมหํ
สนฺทาลยิตฺวาน สํโยชนานิ
อสนฺตสํ ชีวิตสงฺขยมฺหิ
เอโก จเร ขคฺควิสาณกปฺโป.
[คำอ่าน]
รา-คัน-จะ, โท-สัน-จะ, ปะ-หา-ยะ, โม-หัง
สัน-ทา-ละ-ยิด-ตะ-วา-นะ, สัง-โย-ชะ-นา-นิ
อะ-สัน-เต-สัง, ชี-วิ-ตะ-สัง-ขะ-ยำ-หิ
เอ-โก, จะ-เร, ขัก-คะ-วิ-สา-นะ-กับ-โป
[คำแปล]
“บัณฑิตละราคะ โทสะ และโมหะ ทำลายสังโยชน์ได้แล้ว ย่อมไม่หวาดเสียวในการสิ้นชีวิต พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น.”
(พุทฺธ) ขุ.สุ. 25/339., ขุ.จู. 30/426, 427.
ชีวิตของมนุษย์ทุกคนย่อมต้องพบกับความตาย แต่สิ่งที่ทำให้ความตายน่าหวาดเสียวสำหรับคนทั่วไป ก็คือความยึดติดในกิเลส ราคะ โทสะ และโมหะ ที่คอยร้อยรัดจิตใจไว้ไม่ให้เป็นอิสระ ยิ่งยึดมั่นมากเท่าไร ใจก็ยิ่งหวาดกลัวต่อการสิ้นชีวิตมากเท่านั้น
บัณฑิตในทางพระพุทธศาสนา คือผู้มีปัญญา รู้จักพิจารณาชีวิตตามความเป็นจริง เห็นโทษของกิเลสและรู้จักวิธีละมันเสีย เมื่อบัณฑิตสามารถละราคะ ความกำหนัดยินดี ละโทสะ ความโกรธเกรี้ยว และละโมหะ ความหลงผิดได้แล้ว ใจจึงพ้นจากเครื่องผูกพันทั้งหลาย
ราคะ โทสะ และโมหะ เปรียบเสมือนโซ่ตรวนที่คอยรั้งจิตใจไว้ในวัฏสงสาร ใครที่ยังปล่อยให้กิเลสเหล่านี้ครอบงำ ก็ย่อมต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ไม่รู้จบ การจะเป็นบัณฑิตที่แท้จริง จึงต้องมีความเพียรพยายามละราคะ โทสะ โมหะ เหล่านั้นเสียให้หมดสิ้น
เมื่อบัณฑิตทำลายกิเลสและสังโยชน์ได้แล้ว ใจก็ไม่ถูกผูกมัดอีกต่อไป สังโยชน์คือเครื่องร้อยรัดที่ทำให้สัตว์โลกติดอยู่ในวัฏสงสาร เมื่อสังโยชน์ถูกทำลาย ความยึดติดทั้งหลายก็หมดไป ใจจึงเป็นอิสระอย่างแท้จริง
ผู้ที่ละกิเลสได้เช่นนี้ ย่อมไม่หวาดเสียวต่อความตายอีกต่อไป เพราะรู้แล้วว่า ชีวิตและร่างกายนี้เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว เกิดขึ้นแล้วดับไป เมื่อใจไม่ถูกกิเลสครอบงำ ความตายก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวอีกต่อไป แต่เป็นเพียงธรรมดาของสังขาร
ความไม่หวาดกลัวต่อความตายของบัณฑิต มิได้หมายความว่าเขาดื้อดึงหรือไม่เห็นคุณค่าของชีวิต แต่เพราะเขาเห็นความจริงว่า ชีวิตเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีสิ่งใดคงทนถาวร การเข้าใจเช่นนี้ทำให้ใจสงบและยอมรับความตายได้ด้วยใจที่ผ่องใสไร้ความหวาดกลัว
พระพุทธองค์ทรงเปรียบบัณฑิตผู้ละกิเลสแล้วว่า “พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด” เพราะนอแรดนั้นมันอันเดียว แต่แข็งแกร่งยิ่งนัก ฉันใด บัณฑิตผู้พ้นจากกิเลสก็ฉันนั้น ย่อมดำรงชีวิตอย่างอิสระ ไม่ถูกพันธนาการด้วยความยึดติดทั้งปวง
การเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ไม่ได้หมายถึงการตัดขาดจากสังคมโดยสิ้นเชิง แต่หมายถึงการดำรงอยู่ด้วยใจที่ไม่ยึดติด ไม่หมกมุ่น ไม่แบกภาระของกิเลสและความปรุงแต่ง จึงสามารถอยู่อย่างสงบเย็นแม้อยู่ท่ามกลางหมู่ชน
นี่คือสภาวะแห่งความเป็นอิสระที่แท้จริง ใจไม่ถูกกิเลสครอบงำ ไม่หวาดกลัวต่อความตาย และไม่ผูกพันด้วยเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย ชีวิตเช่นนี้ต่างหากที่เรียกได้ว่าเป็นชีวิตอันงดงามและบริสุทธิ์
ดังนั้น บัณฑิตผู้ละราคะ โทสะ และโมหะ ทำลายสังโยชน์ได้แล้ว จึงเป็นผู้ที่มีใจอิสระ ไม่หวาดเสียวต่อการสิ้นชีวิต และสามารถดำเนินชีวิตอย่างสงบเย็น อิสระ และมั่นคงได้.