คนเขลาคิดว่า เรามีบุตร เรามีทรัพย์ จึงเดือดร้อน ที่แท้ตนของตนก็ไม่มี จะมีบุตร มีทรัพย์ มาแต่ที่ไหนเล่า
ปุตฺตา มตฺถิ ธนมตฺถิ อิติ พาโล วิหญฺญติ
อตฺตา หิ อตฺตโน นตฺถิ กุโต ปุตฺตา กุโต ธนํ.
[คำอ่าน]
ปุด-ตา, มัด-ถิ, ทะ-นะ-มัด-ถิ อิ-ติ, พา-โล, วิ-หัน-ยะ-ติ
อัด-ตา, หิ, อัด-ตะ-โน, นัด-ถิ กุ-โต, ปุด-ตา, กุ-โต, ทะ-นัง
[คำแปล]
“คนเขลาคิดว่า เรามีบุตร เรามีทรัพย์ จึงเดือดร้อน ที่แท้ตนของตนก็ไม่มี จะมีบุตร มีทรัพย์ มาแต่ที่ไหนเล่า.”
(พุทฺธ) ขุ.ธ. 25/23.
คนเขลา คือผู้ที่ไม่เข้าใจสภาพความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรมะ โดยเฉพาะเรื่องของ “สังขาร” ซึ่งหมายถึงสิ่งที่ปรุงแต่งทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย จิตใจ หรือสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ คนเขลามักเข้าใจผิดว่าสิ่งเหล่านี้มีตัวตนที่แน่นอนถาวร และสามารถยึดถือครอบครองได้ จึงเกิดความยึดมั่นถือมั่นว่า “ลูกของเรา ทรัพย์สินของเรา ชื่อเสียงของเรา” เป็นของเราโดยแท้
เมื่อมีความยึดมั่นเช่นนี้ ย่อมเลี่ยงไม่พ้นจากความทุกข์ เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงอยู่ภายใต้กฎของ ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง (ไม่เที่ยง), ทุกขัง (เป็นทุกข์), อนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน) เมื่อสิ่งที่เคยคิดว่าเป็นของตนเกิดเปลี่ยนแปลง สูญหาย หรือแตกดับตามธรรมชาติ คนเขลาก็ย่อมเศร้าโศก เสียใจ ร่ำไห้ เพราะไม่สามารถยอมรับความจริงของความเปลี่ยนแปลงได้
หากเราพิจารณาให้ลึกลงไป จะเห็นได้ว่า แม้แต่ตัวเราเอง ที่เราเฝ้าเรียกว่า “เรา” ก็เป็นเพียงการรวมกันของธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งเกิดขึ้นตั้งอยู่ชั่วคราว แล้วก็แตกดับไป ไม่มีอะไรที่เป็นแก่นสารแท้จริง ไม่มีตัวตนที่ยั่งยืน เป็นเพียงกระบวนการทางธรรมชาติที่แปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา
ลูกของเรา ก็เกิดมาด้วยกรรมของตนเอง มีวิบากของตนเอง มิใช่สิ่งที่เราจะสามารถยึดถือเป็นของตัวได้อย่างแท้จริง เช่นเดียวกัน ทรัพย์สิน เงินทอง ที่เรายึดถือว่าหามาได้ด้วยกำลังของเรา เป็นของเรา ก็ล้วนเป็นเพียงของชั่วคราวทั้งสิ้น หากพิจารณาโดยแยบคายแล้ว จะเห็นว่าทุกสิ่งเป็นเพียงเงื่อนไขชั่วคราว ไม่มีสิ่งใดที่เป็นของเราจริง ๆ
เมื่อพิจารณาตามความเป็นจริงเช่นนี้ ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งหลายก็จะค่อย ๆ คลายลง ไม่ใช่ด้วยความรังเกียจหรือเบื่อหน่าย แต่ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องว่า สิ่งทั้งหลายเป็นเพียงสภาวะที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่ใช่ของใคร และไม่สามารถควบคุมให้เป็นไปตามใจต้องการได้
ความทุกข์จึงเกิดจากความยึดมั่นในสิ่งที่เปลี่ยนแปลง หากเราวางใจอย่างเป็นกลาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดว่าเป็นของเรา ความทุกข์จากการสูญเสียก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะไม่มีอะไรที่จะต้องเสียตั้งแต่ต้น ผู้มีปัญญาจึงพึงเจริญสติ พิจารณาไตรลักษณ์ให้ลึกซึ้ง จนใจวางเฉยต่อสภาวะทั้งปวงได้
การปล่อยวางไม่ใช่การทอดทิ้ง แต่เป็นการเข้าใจความจริงของชีวิต เมื่อเข้าใจตามนี้ได้แล้ว แม้จะอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวนเปลี่ยนแปลง แต่ใจก็จะเป็นอิสระ ไม่ถูกกิเลสครอบงำ ไม่เป็นทุกข์เพราะสิ่งที่ปรุงแต่ง ผู้มีปัญญาจึงควรเพียรพิจารณาสังขารทั้งหลายตามความเป็นจริง เพื่อข้ามพ้นจากความเขลา และเข้าถึงความสงบอย่างแท้จริง.