บัณฑิตไม่ศึกษาเพราะอยากได้ลาภ ไม่ขุ่นเคืองเพราะเสื่อมลาภ ไม่ยินดียินร้ายเพราะตัณหา และไม่ติดในรส

ลาภกมฺยา น สิกฺขติ

ลาภกมฺยา น สิกฺขติ     อลาเภ จ น กุปฺปติ
อวิวุทฺโธ จ ตณฺหาย     รเส จ นานุคิชฺฌติ.

[คำอ่าน]

ลา-พะ-กำ-มะ-ยา, นะ, สิก-ขะ-ติ     อะ-ลา-เพ, จะ, นะ, กุบ-ปะ-ติ
อะ-วิ-วุด-โท, จะ, ตัน-หา-ยะ     ระ-เส, จะ, นา-นุ-คิด-ชะ-ติ

[คำแปล]

“บัณฑิตไม่ศึกษาเพราะอยากได้ลาภ ไม่ขุ่นเคืองเพราะเสื่อมลาภ ไม่ยินดียินร้ายเพราะตัณหา และไม่ติดในรส.”

(พุทฺธ) ขุ.สุ. 25/501, ขุ.มหา, 29/284.

คำว่า “บัณฑิต” มีความหมายถึงผู้มีปัญญาและคุณธรรมประจำตน เป็นผู้ที่สามารถใช้สติปัญญาในการคิดพิจารณาและตัดสินใจอย่างถูกต้องตามหลักธรรม บัณฑิตไม่ได้หมายถึงผู้มีความรู้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมควบคู่ไปด้วย จึงจะถือว่าเป็นบัณฑิตที่แท้จริง

พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าบัณฑิตคือผู้ที่มี ปัญญา สามารถแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้ เข้าใจเหตุและผล และรู้จักการดำเนินชีวิตอย่างมีศีลธรรมและสติสัมปชัญญะ โดยเฉพาะใน มงคลสูตร มีการกล่าวถึง “การคบหาบัณฑิต” ซึ่งถือว่าเป็นมงคลหนึ่งของชีวิต การคบหาคนดี คนมีปัญญาและคุณธรรม จะนำพาเราไปในทางที่ดี ในขณะที่การคบคนพาลหรือคนที่ไร้คุณธรรม อาจนำไปสู่ทางเสื่อมและความทุกข์

บัณฑิตเป็นผู้ที่มีปัญญารู้เท่าทันโลกและกิเลส ไม่หลงใหลในสิ่งล่อลวงที่ทำให้จิตใจเกิดความยินดีหรือยินร้าย การไม่ศึกษาเพื่อหวังลาภ ไม่ขุ่นเคืองเพราะเสื่อมลาภ และไม่ติดในรส เป็นลักษณะของบัณฑิตที่สามารถปล่อยวางและดำรงตนอยู่เหนือกิเลสเหล่านี้ได้

บัณฑิตไม่แสวงหาความรู้หรือการศึกษาเพื่อหวังผลประโยชน์ทางวัตถุหรือเกียรติยศ เช่น ลาภ ยศ หรือชื่อเสียง แต่ศึกษาธรรมเพื่อความเจริญในปัญญาและเพื่อความพ้นทุกข์ การแสวงหาความรู้เพื่อหวังผลประโยชน์ส่วนตัวจะทำให้จิตใจข้องเกี่ยวกับกิเลส แต่บัณฑิตแสวงหาความรู้เพื่อละวางจากกิเลส

เมื่อบัณฑิตต้องสูญเสียลาภยศหรือสิ่งของทางวัตถุ เขาย่อมไม่รู้สึกขุ่นเคืองหรือเป็นทุกข์ เพราะรู้ว่า ลาภยศเป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไปตามเหตุปัจจัย การเสื่อมลาภเป็นเรื่องธรรมดาของโลก และการยึดติดจะนำไปสู่ความทุกข์ ดังนั้น บัณฑิตจึงรู้เท่าทันและไม่โศกเศร้าเมื่อสิ่งเหล่านั้นสูญเสียไป

บัณฑิตไม่ให้ความยินดียินร้ายแก่ตัณหาหรือความอยาก เพราะตระหนักว่าตัณหาเป็นเหตุแห่งทุกข์ ตัณหาทำให้ใจยึดติดในสิ่งที่ต้องการ ทั้งในรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส ซึ่งนำไปสู่ความทุกข์ การปล่อยวางจากตัณหาทำให้บัณฑิตมีจิตใจเป็นกลางและไม่โอนเอนไปตามความอยากหรือความไม่อยาก

บัณฑิตไม่ติดใจในความสุขทางกายหรือจิตที่เกิดจากการเสพรสของวัตถุ เช่น ความสุขจากการกิน การฟัง หรือการสัมผัส เพราะเข้าใจว่า ความสุขเหล่านี้เป็นสุขชั่วคราว และอาจกลายเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ในภายหลัง การไม่ยึดติดในรสทำให้บัณฑิตมีจิตใจที่สงบ และไม่ตกเป็นทาสของกิเลส

บัณฑิตเป็นผู้ที่ปล่อยวางจากการยึดติดในลาภ ยศ ตัณหา และรสต่าง ๆ ไม่ศึกษาเพื่อแสวงหาลาภ ไม่ทุกข์เพราะเสื่อมลาภ ไม่ยินดียินร้ายตามตัณหา และไม่ติดใจในสุขทางกายหรือใจ การมีปัญญาเห็นธรรมและปฏิบัติเพื่อละวางกิเลสเหล่านี้ทำให้บัณฑิตสามารถดำเนินชีวิตอย่างสงบสุข.