ความพร้อมเพรียงของหมู่เป็นสุข และการสนับสนุนคนผู้พร้อมเพรียงกันก็เป็นสุข ฯลฯ

สุขา สงฺฆสฺส สามคฺคี สมคฺคานญฺจนุคฺคโห สมคฺครโต ธมฺมฏฺโฐ โยคกฺเขมา น ธํสติ

สุขา สงฺฆสฺส สามคฺคี     สมคฺคานญฺจนุคฺคโห
สมคฺครโต ธมฺมฏฺโฐ     โยคกฺเขมา น ธํสติ.

[คำอ่าน]

สุ-ขา, สัง-คัด-สะ, สา-มัก-คี…..สะ-มัก-คา-นัน-จะ-นุก-คะ-โห
สะ-มัก-คะ-ระ-โต, ทำ-มัด-โถ…..โย-คัก-เข-มา, นะ, ทัง-สะ-ติ

[คำแปล]

“ความพร้อมเพรียงของหมู่เป็นสุข และการสนับสนุนคนผู้พร้อมเพรียงกันก็เป็นสุข ผู้ยินดีในคนผู้พร้อมเพรียงกัน ตั้งอยู่ในธรรม ย่อมไม่คลาดจากธรรมอันเกษมจากโยคะ.”

(พุทฺธ) ขุ.อิติ. 25/238.

ความสามัคคีเป็นคุณธรรมที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ความสามัคคีเป็นเสาหลักที่ทำให้สังคมเติบโตและพัฒนาได้อย่างยั่งยืน เพราะเมื่อคนเราอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคี สามารถร่วมมือร่วมใจกันทำงานเพื่อเป้าหมายเดียวกัน ความสุขและความสำเร็จก็จะตามมา ความสามัคคีไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การทำงานร่วมกันเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการยอมรับและเคารพความคิดเห็นของผู้อื่นด้วย ซึ่งนำไปสู่การสร้างบรรยากาศที่เอื้อเฟื้อและเอาใจใส่กัน

เมื่อคนในสังคมมีความสามัคคีและสนับสนุนซึ่งกันและกัน ความสุขก็จะเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย ความสุขที่เกิดจากการมีความสามัคคีไม่ใช่เพียงแค่ความสุขเฉพาะบุคคล แต่ยังเป็นความสุขที่สามารถแบ่งปันไปยังคนรอบข้างได้ด้วย การสนับสนุนคนที่มีความสามัคคีจึงเป็นการสร้างฐานรากให้กับสังคมที่มีความเข้มแข็งและมีความมั่นคง ซึ่งสิ่งนี้เองจะช่วยให้สังคมสามารถเผชิญหน้ากับปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บุคคลที่คบหากับคนที่มีความสามัคคีมักจะได้รับผลที่ดีจากการคบหานั้น ไม่เพียงแต่เขาจะได้รับการสนับสนุนและแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิต แต่ยังสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองในด้านคุณธรรมอีกด้วย การอยู่ร่วมกับคนที่มีความสามัคคีจึงเสมือนเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้เกิดการเติบโตทั้งในด้านจิตใจและการทำงาน

การดำรงตนอยู่ในธรรมเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้บุคคลสามารถรักษาความสามัคคีในชีวิตได้ ธรรมคือหลักคำสอนที่ชี้นำให้บุคคลดำเนินชีวิตไปในทางที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม การดำรงตนอยู่ในธรรมจึงเป็นเสมือนเครื่องมือที่ช่วยให้บุคคลสามารถจัดการกับอารมณ์และความคิดของตนเองได้อย่างมีสติ ซึ่งจะทำให้เขาสามารถรักษาความสามัคคีกับผู้อื่นได้อย่างยาวนาน

โยคะ หมายถึง พันธนาการ 4 ประการ ที่ผูกมัดสัตว์โลกให้วนเวียนอยู่ในวัฏฏสงสาร ไม่สามารถหลุดพ้นไปสู่พระนิพพานได้ โยคะ 4 ดังกล่าวนั้นประกอบด้วย

  1. กามโยคะ การยึดมั่นในกามคุณทั้งหลาย เช่น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ การหลงใหลในกามคุณเหล่านี้ทำให้เกิดความอยาก และเป็นเหตุให้เกิดกิเลสตัณหาต่างๆ นำไปสู่การเกิดใหม่ในภพภูมิที่ต่ำกว่า
  2. ภวโยคะ การยึดมั่นในภพชาติ คือ ความยึดมั่นว่าตนมีตัวตนอยู่ และต้องการที่จะเกิดใหม่ในภพภูมิที่ดีกว่า หรืออย่างน้อยก็ไม่อยากตาย การยึดมั่นในภพชาตินี้ทำให้เกิดความกลัวความตาย และเป็นเหตุให้เกิดกิเลสตัณหาต่างๆ
  3. ทิฏฐิโยคะ การยึดมั่นในทิฏฐิ หรือความเห็นผิด เช่น การยึดมั่นในตัวตนที่ยั่งยืน การยึดมั่นในอัตตา หรือการยึดมั่นในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง การยึดมั่นในทิฏฐินี้ทำให้เกิดความเห็นผิด และเป็นเหตุให้เกิดการทะเลาะวิวาท และความขัดแย้ง
  4. อวิชชาโยคะ ความไม่รู้แจ้งในสัจธรรม คือ ความไม่รู้แจ้งในความจริงของชีวิต ความไม่รู้แจ้งในเหตุและผลของการเกิดแก่เจ็บตาย การไม่รู้แจ้งในอวิชชานี้เป็นต้นเหตุของกิเลสตัณหาทั้งปวง และเป็นสาเหตุที่ทำให้สัตว์โลกเวียนว่ายตายเกิด

ธรรมอันเกษมจากโยคะ หมายถึง การหลุดพ้นจากโยคะ 4 คือการทำลายพันธนาการทั้ง 4 นี้ให้หมดไป โดยการฝึกอบรมจิตด้วยวิปัสสนากัมมัฏฐาน เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติของสรรพสิ่งอย่างถูกต้อง และละทิ้งความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ ที่เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์

คนที่ดำรงตนอยู่ในธรรมและมีความสามัคคีจะไม่คลาดจากธรรมอันเกษมจากโยคะนี้.