ความรู้เกิดแก่คนพาล ก็เพียงเพื่อความฉิบหาย มันทำสมองของเขาให้เขว ย่อมฆ่าส่วนที่ขาวของคนพาลเสีย

ยาวเทว อนตฺถาย ญตฺตํ พาลสฺส ชายติ หนฺติ พาลสฺส สุกฺกํสํ มุทฺธํ อสฺส วิปาตยํ

ยาวเทว อนตฺถาย     ญตฺตํ พาลสฺส ชายติ
หนฺติ พาลสฺส สุกฺกํสํ     มุทฺธํ อสฺส วิปาตยํ.

[คำอ่าน]

ยา-วะ-เท-วะ, อะ-นัด-ถา-ยะ…..ยัด-ตัง, พา-ลัด-สะ, ชา-ยะ-ติ
หัน-ติ, พา-ลัด-สะ, สุก-กัง-สัง…..มุด-ทัง, อัด-สะ, วิ-ปา-ตะ-ยัง

[คำแปล]

“ความรู้เกิดแก่คนพาล ก็เพียงเพื่อความฉิบหาย มันทำสมองของเขาให้เขว ย่อมฆ่าส่วนที่ขาวของคนพาลเสีย.”

(พุทฺธ) ขุ.ธ. 25/24.

คำว่า “คนพาล” หมายถึง คนที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ไม่รู้ประโยชน์หรือมิใช่ประโยชน์ ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ ไม่ดำรงตนอยู่ในศีลในธรรม คนประเภทนี้เมื่อศึกษาเล่าเรียนมีความรู้ความสามารถแล้ว ย่อมใช้ความรู้ความสามารถที่ได้เล่าเรียนมาไปทำเรื่องที่เสื่อมเสีย สร้างทุกข์สร้างโทษให้แก่ตนเองและสังคม ไม่สามารถที่จะสร้างคุณประโยชน์ใด ๆ ให้แก่ตนเองและสังคมได้

คนพาลคือผู้ที่ขาดความสามารถในการแยกแยะสิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่ดี พวกเขาไม่รู้ว่าอะไรคือประโยชน์อะไรมิใช่ประโยชน์ และมักจะละเลยหลักศีลธรรมอันดีของศาสนาและวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามของสังคม การไม่ดำรงตนอยู่ในศีลธรรมทำให้พวกเขาเสี่ยงต่อการกระทำที่ผิดศีลธรรมและก่อให้เกิดผลกระทบที่เลวร้าย

เมื่อคนพาลมีโอกาสในการศึกษาเล่าเรียนและได้รับความรู้ความสามารถ แทนที่จะใช้ความรู้นั้นในทางที่ดี พวกเขากลับใช้มันเพื่อทำเรื่องที่เสื่อมเสีย การใช้ความรู้ในทางที่ผิดนี้ไม่เพียงแต่ทำให้พวกเขาเองได้รับความฉิบหาย แต่ยังส่งผลกระทบต่อสังคมรอบข้างด้วย

การที่คนพาลไม่รู้จักแยกแยะความดีและความชั่ว ทำให้พวกเขาไม่สามารถสร้างคุณประโยชน์ใด ๆ ให้แก่ตนเองและสังคมได้ ความรู้และความสามารถที่พวกเขามีอยู่กลายเป็นดาบสองคมที่ทำให้ตนเองแบะสังคมต้องเผชิญกับความทุกข์และความเดือดร้อน

ดังนั้น คนพาลแม้จะมีความรู้ความสามารถมาก ก็ไม่ควรได้รับการสนับสนุนให้มียศตำแหน่งที่สูงหรือบทบาทหน้าที่ที่สำคัญในสังคมหรือองค์กร เพราะคนพาลเหล่านั้นจะนำพาองค์กรหรือสังคมนั้น ๆ ไปสู่ความฉิบหายอย่างแน่นอน.