ราคะ โทสะ และอวิชชา อันผู้ใดหลุดพ้นแล้ว ผู้นั้น เป็นผู้คงที่ มีสายล่ามขาดแล้ว ไม่มีเครื่องผูก ย่อมไม่ติดในที่นั้น

เยสํ ราโค จ โทโส จ

เยสํ ราโค จ โทโส จ     อวิชฺชา จ วิราชิตา
ตาที ตตฺถ น รชฺชนฺติ     ฉินฺนสุตฺตา อพนฺธนา.

[คำอ่าน]

เย-สัง, รา-โค, จะ, โท-โส, จะ     อะ-วิด-ชา, จะ, วิ-รา-ชิ-ตา
ตา-ที, ตัด-ถะ, นะ, รัด-ชัน-ติ     ฉิน-นะ-สุด-ตา, อะ-พัน-ทะ-นา

[คำแปล]

“ราคะ โทสะ และอวิชชา อันผู้ใดหลุดพ้นแล้ว ผู้นั้น เป็นผู้คงที่ มีสายล่ามขาดแล้ว ไม่มีเครื่องผูก ย่อมไม่ติดในที่นั้น.”

(นนฺทเถร) ขุ.เถร. 26/312.

ราคะ โทสะ และอวิชชา เป็นกิเลสหลักสามประการที่ส่งผลให้มนุษย์เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร ซึ่งกิเลสทั้งสามนี้เป็นสิ่งที่พันธนาการจิตใจและเป็นเหตุของทุกข์ในชีวิต ตามคำสอนของพระพุทธศาสนา กิเลสสามประการนี้เรียกว่า “อาสวะ” หรือ “อาสวะกิเลส”

  • ราคะ (ความอยาก, ความกำหนัด): คือ ความต้องการในสิ่งที่น่าพึงพอใจ ความอยากในกามคุณทั้งห้า (รูป, เสียง, กลิ่น, รส, โผฏฐัพพะ) ราคะทำให้จิตของเรายึดมั่นอยู่กับสิ่งต่าง ๆ ในโลก ไม่ว่าจะเป็นวัตถุหรือความสัมพันธ์ทางกายภาพหรือจิตใจ เป็นความหลงใหลที่ทำให้เรายึดติดในสิ่งอันเป็นของลวงโลกทั้งหลาย ส่งผลให้เราต้องการมากขึ้นเรื่อย ๆ และทำให้เกิดทุกข์เมื่อไม่ได้ตามที่หวัง
  • โทสะ (ความโกรธ, ความขัดเคือง): คือ ความไม่พอใจ ความเคียดแค้น หรือความโกรธที่เกิดขึ้นเมื่อเราไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ หรือเมื่อพบกับสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ โทสะทำให้จิตใจขุ่นเคืองและสร้างทุกข์แก่ตนเองและผู้อื่น โทสะเป็นพลังลบที่ทำลายสติปัญญาและความสงบสุขภายในจิตใจ
  • อวิชชา (ความไม่รู้, ความหลง): คือ ความไม่รู้ความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติของชีวิต และความไม่เข้าใจในอริยสัจ 4 (ทุกข์, สมุทัย, นิโรธ, มรรค) อวิชชาเป็นรากเหง้าของกิเลสทั้งหมด เพราะทำให้มนุษย์ยึดติดอยู่กับความไม่จริง เช่น ยึดว่าตนเองเป็นของเที่ยงหรือสิ่งต่าง ๆ เป็นที่พึ่งของความสุขแท้จริง ทำให้เราหลงติดอยู่ในโลกแห่งกิเลสและไม่เห็นทางออกจากวัฏสงสาร

ทั้งสามกิเลสนี้เป็นสิ่งที่พันธนาการจิตใจของมนุษย์ให้เวียนวนอยู่ในทุกข์ และเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุนิพพาน

บุคคลผู้สามารถทำลาย ราคะ โทสะ และอวิชชา เหล่านี้ได้ เรียกว่าเป็นผู้บรรลุธรรมขั้นสูงในพระพุทธศาสนา บุคคลนี้ได้ชื่อว่าเป็น พระอรหันต์ หรือ พระขีณาสพ ซึ่งหมายถึงผู้ที่สิ้นกิเลสโดยสมบูรณ์ ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือที่จะดึงรั้งจิตใจให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารอีกต่อไป

เมื่อบุคคลทำลายกิเลสสามประการนี้ได้แล้ว ย่อมมีคุณสมบัติดังนี้

มีความมั่นคงต่อพระนิพพาน: การทำลายราคะ โทสะ และอวิชชา คือการทำลายรากเหง้าของทุกข์ทั้งปวง บุคคลนี้ไม่มีกิเลสใดที่จะกระตุ้นให้เกิดความอยาก ความโกรธ หรือความหลง จิตใจจึงสงบเย็นและบริสุทธิ์ เมื่อไม่มีปัจจัยให้ต้องกลับมาเกิดอีก เขาย่อมมีความมั่นคงในพระนิพพาน ซึ่งเป็นสภาวะที่หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง

ไม่มีกิเลสเป็นเครื่องผูกพัน: การสิ้นกิเลสทำให้บุคคลผู้นี้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ไม่ถูกยึดติดกับสิ่งใดในโลก ไม่ว่าจะเป็นวัตถุภายนอก ความสุขทางกายหรือทางใจ การพ้นจากกิเลสหมายถึงการพ้นจากทุกข์ที่เกิดจากการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่าง ๆ ซึ่งเป็นผลจากราคะ โทสะ และอวิชชา

สภาวะจิตที่บริสุทธิ์และสงบเย็น: บุคคลที่ทำลายราคะ โทสะ และอวิชชาได้แล้ว จิตของเขาจะไม่มีความขุ่นเคืองหรือความกระวนกระวายใด ๆ ทั้งสิ้น จิตจะเป็นอิสระจากการปรุงแต่ง ไม่ตกอยู่ภายใต้ความโลภ ความโกรธ หรือความหลง

ไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก: บุคคลผู้ทำลายกิเลสสามประการนี้ได้จะไม่กลับมาเกิดอีกในวัฏสงสาร เพราะเขาได้ตัดเหตุแห่งการเกิด ซึ่งเกิดจากตัณหา (ความอยาก) ที่ยังคงขับเคลื่อนชีวิตให้เวียนว่ายตายเกิด เมื่อราคะ โทสะ และอวิชชาสิ้นแล้ว เขาย่อมเข้าถึงนิพพาน ซึ่งเป็นการดับทุกข์โดยสิ้นเชิง

ดังนั้น บุคคลผู้ที่สามารถทำลายกิเลสเหล่านี้ได้ ย่อมเป็นผู้ที่ไม่ถูกพันธนาการด้วยกิเลสใด ๆ อีกต่อไป และย่อมมีความมั่นคงในพระนิพพาน ซึ่งเป็นสภาวะที่ไม่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และทุกข์อีก.