ผู้ขบคิดปัญหาอันลึกซึ้งด้วยใจ ไม่ทำกรรมชั่วอันไม่มีประโยชน์เกื้อกูลเลย ฯลฯ
คมฺภีรปญฺหํ มนสาภิจินฺตยํ
นจฺจาหิตํ กมฺม กโรติ ลุทฺทํ
กาลาคตํ อตฺถปทํ ริญฺจติ
ตถาวิธํ ปญฺญวนฺตํ วทนฺติ.
[คำอ่าน]
คำ-พี-ระ-ปัน-หัง, มะ-นะ-สา-พิ-จิน-ตะ-ยัง
นัด-จา-หิ-ตัง, กำ-มะ, กะ-โร-ติ, ลุด-ทัง
กา-ลา-คะ-ตัง, อัด-ถะ-ปะ-ทัง, ริน-จะ-ติ
ตะ-ถา-วิ-ทัง, ปัน-ยะ-วัน-ตัง, วะ-ทัน-ติ
[คำแปล]
“ผู้ขบคิดปัญหาอันลึกซึ้งด้วยใจ ไม่ทำกรรมชั่วอันไม่มีประโยชน์เกื้อกูลเลย ไม่ละทางแห่งประโยชน์ที่มาถึงตามเวลา บัณฑิตทั้งหลายเรียกคนอย่างนั้นว่า ผู้มีปัญญา.”
(สรภงฺคโพธิสตฺต) ขุ.ชา.จตฺตาฬีส. 27/540.
การขบคิดปัญหาอันลึกซึ้งด้วยใจหมายถึงการพิจารณาและไตร่ตรองถึงปัญหาหรือเรื่องราวต่างๆ อย่างลึกซึ้งและรอบคอบ บุคคลที่มีคุณสมบัตินี้จะมีความสามารถในการเข้าใจเรื่องราวได้อย่างถ่องแท้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวที่ซับซ้อนหรือมีความหมายที่ลึกซึ้ง มีการใช้สติปัญญาในการวิเคราะห์และพิจารณาเรื่องราวต่างๆ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์
การไม่ทำกรรมชั่วอันไม่มีประโยชน์เกื้อกูลเลยเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของผู้ที่มีปัญญา กรรมชั่วที่ไม่มีประโยชน์เกื้อกูลนั้น หมายถึงการกระทำที่เป็นโทษหรือก่อให้เกิดผลเสียหายทั้งต่อตนเองและผู้อื่น บุคคลที่มีปัญญาจะสามารถแยกแยะและตระหนักถึงผลเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการกระทำเช่นนี้ได้ ดังนั้นพวกเขาจะพยายามหลีกเลี่ยงและไม่กระทำกรรมชั่วเหล่านี้
ไม่ละทางแห่งประโยชน์ที่มาถึงตามเวลาหมายถึงการไม่ปล่อยให้โอกาสที่ดีหรือประโยชน์ที่มาถึงผ่านไปโดยไม่ทำอะไร ผู้มีปัญญาจะรู้จักจับโอกาสและใช้ประโยชน์จากโอกาสที่มาถึงให้เกิดประโยชน์สูงสุด เขามีความสามารถในการมองเห็นและตระหนักถึงโอกาสที่มาในชีวิต และรู้วิธีการใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้นอย่างมีประสิทธิภาพ
บุคคลผู้มีคุณสมบัติดังกล่าวนั้น บัณฑิตทั้งหลายเรียกว่า ผู้มีปัญญา การที่บัณฑิตทั้งหลายเรียกคนเหล่านั้นว่า ผู้มีปัญญา สะท้อนให้เห็นถึงการยกย่องและยอมรับในความสามารถและคุณสมบัติของบุคคลดังกล่าว
การมีปัญญาไม่เพียงแค่หมายถึงการมีความรู้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการรู้จักนำความรู้นั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งตนเองและสังคม ผู้มีปัญญาจึงเป็นผู้ที่สามารถใช้ความรู้ในการแก้ไขปัญหาและสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามในชีวิตของตนเองและผู้อื่น การมีปัญญาจึงเป็นสิ่งที่สำคัญและมีคุณค่าในทุกๆ ด้านของชีวิต.