ไม่พึงดูหมิ่นลาภของตน ไม่ควรเที่ยวปรารถนาลาภของผู้อื่น ภิกษุปรารถนาลาภของผู้อื่น ย่อมไม่บรรลุสมาธิ
สลาภํ นาติมญฺเญยฺย นาญฺเญสํ ปิหยญฺจเร
อญฺเญสํ ปิหยํ ภิกฺขุ สมาธึ นาธิคจฺฉติ.
[คำอ่าน]
สะ-ลา-พัง, นา-ติ-มัน-ไย-ยะ นาน-เย-สัง, ปิ-หะ-ยัน-จะ-เร
อัน-เย-สัง, ปิ-หะ-ยัง, พิก-ขุ สะ-มา-ทิง, นา-ทิ-คัด-ฉะ-ติ
[คำแปล]
“ไม่พึงดูหมิ่นลาภของตน ไม่ควรเที่ยวปรารถนาลาภของผู้อื่น ภิกษุปรารถนาลาภของผู้อื่น ย่อมไม่บรรลุสมาธิ.”
(พุทฺธ) ขุ.ธ. 25/65.
ลาภสักการะหรือสิ่งที่ได้มาเป็นผลตอบแทนในการดำเนินชีวิต ถือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยของบุญที่แต่ละคนได้สั่งสมไว้ และความวิริยะอุตสาหะในการแสวงหา ดังนั้น การได้ลาภมากหรือน้อย ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ควรอิจฉาหรือดูหมิ่น แต่ควรใช้ด้วยความพอใจและรู้จักประมาณ
คำว่า “ไม่พึงดูหมิ่นลาภของตน” หมายถึง ไม่ว่าลาภนั้นจะมากหรือน้อย ควรมองว่าเป็นผลแห่งความเพียรและบุญที่เราทำมา อย่าได้คิดดูแคลนหรือไม่เห็นคุณค่า เพราะแม้ลาภเพียงเล็กน้อยก็ยังอาจเลี้ยงชีพและเป็นประโยชน์ได้
ในทางตรงข้าม หากมัวแต่เที่ยวปรารถนาลาภของผู้อื่น ก็จะกลายเป็นความอิจฉาและความโลภที่ก่อความเดือดร้อนให้แก่ตนเอง จิตใจจะไม่สงบ เพราะมัวแต่คิดเปรียบเทียบว่าทำไมเขาได้มากกว่าเรา ทำไมเขามีสิ่งที่เรายังไม่มี
พระพุทธองค์ตรัสว่า “ไม่ควรเที่ยวปรารถนาลาภของผู้อื่น” เพราะการคิดเช่นนั้นเป็นการทำให้ใจเราขุ่นมัว และยังอาจผลักดันให้เกิดการแสวงหาลาภด้วยวิธีที่ผิดศีลธรรม ผิดกฎหมาย ซึ่งจะยิ่งก่อให้เกิดบาปกรรมและความทุกข์ในภายหลัง
สำหรับภิกษุผู้บวชแล้ว การปรารถนาลาภของผู้อื่นยิ่งเป็นโทษใหญ่ เพราะทำให้ใจไม่สงบ ไม่สามารถตั้งมั่นในสมาธิได้ หากมัวแต่คิดเปรียบเทียบว่าใครได้ไทยธรรมมากกว่า หรือใครมีผู้ศรัทธามากกว่า ใจย่อมฟุ้งซ่าน ไม่อาจเข้าสู่ความสงบได้
ลาภสักการะที่ภิกษุได้รับ ควรถือเป็นเพียงปัจจัยเกื้อกูลในการประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดของการบวช เพราะเป้าหมายแท้จริงคือการฝึกจิตให้สงบ ดับกิเลส และบรรลุความพ้นทุกข์ ไม่ใช่เพื่อสะสมลาภยศหรือสิ่งปรุงแต่งภายนอก
ในทางโลกเช่นกัน หากเราไม่ดูหมิ่นลาภของตน และไม่อิจฉาลาภของผู้อื่น ใจเราย่อมสงบและเป็นสุข สามารถใช้สิ่งที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยไม่ต้องวิ่งตามความอยากที่ไม่มีที่สิ้นสุด
การพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ หรือที่เรียกว่า สันโดษ เป็นคุณธรรมที่สำคัญ เพราะทำให้ใจสงบ เย็น และมีสมาธิ ไม่ต้องร้อนรนเพราะเปรียบเทียบกับใคร ไม่ต้องทุกข์ใจเพราะอยากได้สิ่งที่คนอื่นมี
ตรงกันข้าม ผู้ที่ละโมบและเที่ยวปรารถนาลาภของผู้อื่น ย่อมไม่พบกับความสงบในใจเลย จิตใจว้าวุ่น ฟุ้งซ่าน และย่อมไม่สามารถเจริญสมาธิภาวนาได้ เพราะจิตยังเต็มไปด้วยความอยากและความอิจฉา
ดังนั้น ผู้ใดไม่ดูหมิ่นลาภของตน รู้จักพอใจในสิ่งที่ได้มา และไม่เที่ยวปรารถนาลาภของผู้อื่น ผู้นั้นย่อมดำรงชีวิตด้วยความสงบสุข ภิกษุที่ประพฤติตามหลักนี้ก็จะสามารถบรรลุสมาธิ และก้าวหน้าไปสู่ความหลุดพ้นในที่สุด.