มารค้นหาอยู่ ย่อมไม่พบทางของผู้มีศีลสมบูรณ์ อยู่ด้วยความไม่ประมาท หลุดพ้นแล้วเพราะรู้ชอบ

เตสํ สมฺปนฺนสีลานํ อปฺปมาทวิหารินํ สมฺมทญฺญา วิมุตฺตานํ มาโร มคฺคํ น วินฺทติ

เตสํ สมฺปนฺนสีลานํ     อปฺปมาทวิหารินํ
สมฺมทญฺญา วิมุตฺตานํ     มาโร มคฺคํ น วินฺทติ.

[คำอ่าน]

เต-สัง, สำ-ปัน-นะ-สี-ลา-นัง…..อับ-ปะ-มา-ทะ-วิ-หา-ริ-นัง
สำ-มะ-ทัน-ยา, วิ-มุด-ตา-นัง…..มา-โร, มัก-คัง, นะ, วิน-ทะ-ติ

[คำแปล]

“มารค้นหาอยู่ ย่อมไม่พบทางของผู้มีศีลสมบูรณ์ อยู่ด้วยความไม่ประมาท หลุดพ้นแล้วเพราะรู้ชอบ.”

(พุทฺธ) ขุ.ธ. 25/22.

คำว่า “มาร” ในบริบทของคำสอนทางศาสนาพุทธ หมายถึง สิ่งที่เป็นอุปสรรคและกีดขวางบุคคลจากการบรรลุคุณงามความดี มารนั้นอาจมาในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือสิ่งล่อใจต่างๆ ที่นำพาให้บุคคลหลงทางจากเส้นทางของธรรมะ

ผู้มีศีลสมบูรณ์ หมายถึงผู้ปฏิบัติตามหลักศีลห้าหรือศีลแปด เป็นต้น อย่างเคร่งครัด ทำให้จิตใจสะอาดและบริสุทธิ์ การรักษาศีลอย่างเคร่งครัดเป็นการสร้างเกราะป้องกันตนเองจากการล่อลวงของมาร เพราะศีลนั้นเป็นพื้นฐานสำคัญที่ช่วยให้จิตใจมั่นคงและมีความสงบระงับ

การอยู่ด้วยความไม่ประมาทเป็นอีกหนึ่งหลักสำคัญในคำสอนของพระพุทธเจ้า ความไม่ประมาทหมายถึงการมีสติรู้สึกตัวอยู่เสมอ ไม่ปล่อยให้ตนเองตกเป็นเหยื่อของกิเลสหรือสิ่งชั่วร้าย การมีสติและความรู้สึกตัวจะช่วยให้บุคคลสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและไม่ถูกมารครอบงำ

การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นกระบวนการที่สำคัญในการฝึกฝนจิตใจให้รู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมของชีวิต วิปัสสนากรรมฐานนั้นเป็นการพิจารณาธรรมชาติของสรรพสิ่งว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา การปฏิบัติเช่นนี้จะช่วยให้บุคคลสามารถเข้าใจและยอมรับความเป็นจริงของชีวิต ทำให้จิตใจไม่ยึดติดในสิ่งลวงโลกทั้งหลาย

เมื่อบุคคลปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนรู้แจ้งแท้งตลอดพระสัทธรรม นั่นหมายถึงการที่บุคคลสามารถเข้าใจและประจักษ์ในธรรมะอย่างสมบูรณ์ ทำให้สามารถปลดปล่อยตนเองจากความทุกข์ทั้งหลาย หลุดพ้นจากอำนาจของมารอย่างสิ้นเชิง มารอันเป็นตัวขวางกั้นคุณงามความดีทั้งหลายย่อมไม่สามารถพบทางที่จะครอบงำจิตใจของบุคคลนั้นได้อีกต่อไป

เป็นอันสรุปว่า บุคคลที่รักษาศีลบริสุทธิ์ อยู่ด้วยความไม่ประมาท และปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนรู้แจ้งในพระสัทธรรม จะสามารถพ้นจากอำนาจของมารได้อย่างสิ้นเชิง.