เปลวไฟที่ถูกกำลังลมพัดดับวูบไป ย่อมกำหนดนับไม่ได้ ฉันใด ผู้รู้พ้นไปแล้วจากนามกาย ดับวูบไป ย่อมกำหนดนับไม่ได้ ฉันนั้น
อจฺจิ ยถา วาตเวเคน ขิตฺตํ อตฺถํ ปเลติ น อุเปติ สงฺขํ
เอวํ มุนี นามกายา วิมุตฺโต อตฺถํ ปเลติ น อุเปติ สงฺขํ.
[คำอ่าน]
อัด-จิ, ยะ-ถา, วา-ตะ-เว-เค-นะ, ขิด-ตัง…..อัด-ถัง, ปะ-เล-ติ, นะ, อุ-เป-ติ, สัง-ขัง
เอ-วัง, มุ-นี, นา-มะ-กา-ยา, วิ-มุด-โต…..อัด-ถัง, ปะ-เล-ติ, นะ, อุ-เป-ติ, สัง-ขัง
[คำแปล]
“เปลวไฟที่ถูกกำลังลมพัดดับวูบไป ย่อมกำหนดนับไม่ได้ ฉันใด ผู้รู้พ้นไปแล้วจากนามกาย ดับวูบไป ย่อมกำหนดนับไม่ได้ ฉันนั้น.”
(พุทฺธ) ขุ.ส. 25/539, ขุ.จู. 30/136.
คำว่า “นามกาย” หมายถึงจิตที่เป็นนามธรรม คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ท่านผู้รู้ คือ อริยชนผู้เข้าถึงอรหัตตผล ย่อมหลุดพ้นจากนามกายดังกล่าว คือดับกิเลสทั้งปวง ไม่มีเชื้อยางที่จะเป็นเหตุให้เกิดในภพภูมิใหม่ต่อไปอีก
เปลวไฟที่ลุกโชติช่วงอยู่ เมื่อถูกลมพัดเข้าแล้วดับวูบไปย่อมหาแสวงสว่างมิได้และไม่สามารถกำหนดนับได้อีกว่าตรงไหนคือไฟตรงไหนคือเปลวไฟ คือเมื่อดับไปแล้วก็ไม่สามารถเรียกว่าไฟได้อีก ฉันใด
บุคคลผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนสามารถบรรลุอริยมรรคอริยผลขั้นสูงสุดคือเข้าถึงอรหัตตมรรคอรหัตตผลได้แล้ว ได้ชื่อว่าพ้นไปแล้วจากนามกาย ทำกิเลสอาสวะทั้งปวงให้ดับไปแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อถึงคราวปรินิพพาน ทั้งรูปกายและนามกายย่อมกำหนดนับไม่ได้อีก บุญและบาปทั้งปวงที่ยังเหลืออยู่ไม่สามารถนำท่านไปถือปฏิสนธิในภพภูมิใหม่ได้อีก พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอย่างถาวร
เปลวไฟที่ถูกลมพัดจนดับวูบไปเป็นภาพที่แสดงถึงความไม่แน่นอนและความไม่ยั่งยืนของสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ เช่นเดียวกับชีวิตมนุษย์ที่เกิดขึ้นและดับไปตามสภาพและเหตุปัจจัย เปลวไฟเมื่อดับลงแล้วไม่สามารถกำหนดหรือหาตำแหน่งที่มันจะไปต่อได้ ไม่มีใครรู้ได้ว่าเปลวไฟนั้นหายไปอยู่ที่ไหน สิ่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของความไม่แน่นอนและการไม่มีตัวตนที่แน่นอนของทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้
เปลวไฟที่ดับวูบไป เปรียบเปรยถึงผู้ที่รู้แจ้งและพ้นจากนามกายหรือสังสารวัฏ สภาวะนี้เรียกว่า “นิพพาน” ซึ่งเป็นการพ้นจากทุกข์และการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ เมื่อผู้รู้บรรลุนิพพาน ก็เปรียบเสมือนเปลวไฟที่ดับวูบไป ไม่มีการเวียนกลับมาในโลกนี้อีกต่อไป และไม่สามารถกำหนดหรือวัดได้ว่าผู้รู้นั้นเมื่อนิพพานแล้วไปอยู่ที่ไหนหรือเป็นอย่างไร.