บัณฑิตขัดขวางโจรผู้นำของไป, ส่วนสมณะนำไป ย่อมเป็นที่รัก, บัณฑิตย่อมยินดีต้อนรับสมณะผู้มาบ่อย ๆ
โจรํ หรนฺตํ วาเรนฺติ หรนฺโต สมโณ ปิโย
สมณํ ปุนปฺปุนายนฺตํ อภินนฺทนฺติ ปณฺฑิตา.
[คำอ่าน]
โจ-รัง, หะ-รัน-ตัง, วา-เรน-ติ หะ-รัน-โต, สะ-มะ-โน, ปิ-โย
สะ-มะ-นัง, ปุ-นับ-ปุ-นา-ยัน-ตัง อะ-พิ-นัน-ทัน-ติ, ปัน-ทิ-ตา
[คำแปล]
“บัณฑิตขัดขวางโจรผู้นำของไป, ส่วนสมณะนำไป ย่อมเป็นที่รัก, บัณฑิตย่อมยินดีต้อนรับสมณะผู้มาบ่อย ๆ.”
(พุทฺธ) สํ.ส. 15/60.
ทรัพย์สินเงินทองหรือสิ่งของทั้งหลายทั้งปวงที่หามาได้ด้วยความยากลำบาก ย่อมเป็นที่หวงแหนของคนทั้งหลาย ไม่มีใครเลยที่ไม่หวงแหนทรัพย์สินของตน เพราะสิ่งเหล่านั้นได้มาด้วยความมุมานะบากบั่นในการดิ้นรนทำการทำงานด้วยความเหน็ดเหนื่อยกว่าจะได้มา ดังนั้น การหวงแหนทรัพย์สินสิ่งของของตนจึงเป็นเรื่องธรรมดาของคนทั่วไป
คนทั้งหลายย่อมทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นมาลักขโมยทรัพย์สินของตน เพื่อรักษาทรัพย์สินของตนให้มีความปลอดภัย หากมีใครคนใดคนหนึ่งมาลักขโมยทรัพย์สินของตน ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์ย่อมติดตามเอาคืนมา หรือแจ้งตำรวจเพื่อให้ช่วยตามจับคนร้ายมาลงโทษและเอาทรัพย์สินของตนคืนมา เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม บุคคลผู้มีปัญญาถึงแม้จะมีความหวงแหนทรัพย์สินสิ่งของของตนสักเพียงใด แต่หากเป็นการสละทรัพยสินนั้นเพื่อการกุศลคือการบำเพ็ญทานบารมี เช่น การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา การอุปถัมภ์สมณะผู้ทรงศีลทรงธรรม หรือการช่วยเหลือผู้ตกทุกได้ยาก เขาย่อมยินดีที่จะสละทรัพย์สินของตนเพื่อการนั้นด้วยความเต็มใจ เพราะนั่นคือหนทางแห่งการบำเพ็ญบารมีเบื้องต้นในพุทธศาสนา เป็นการบำเพ็ญบุญที่เรียกว่า ทานมัยบุญกิริยาวัตถุ
ดังนั้น ทรัพย์สินเงินทองที่เราทั้งหลายแสวงหามาได้ด้วยความยากลำบากนั้น จะหวงแหนไว้ใช้สอยส่วนตนย่อมไม่ใช่เรื่องที่ผิด เพราะคนเราทุกคนย่อมมีสิทธิ์ในทรัพย์สินของตนเองอย่างชอบธรรม แต่ในขณะเดียวกันก็อย่าลืมที่จะบำเพ็ญบุญกุศลด้วยการยอมสละทรัพย์สินของตนเองนั้นเพื่อสงเคราะห์สมณะผู้ทรงศีลและช่วยเหลือบุคคลอื่นตามสมควรแก่ฐานะ เพราะนั่นจะเป็นการแปรสภาพทรัพย์สินที่เป็นของชั่วคราวและสามารถใช้ได้เฉพาะในโลกนี้ ให้กลายเป็นพลังบุญที่จะสามารถตามอำนวยศุภผลให้เราได้ในสัมปรายภพ.