ถ้าเป็นผู้มีอินทรีย์สมบูรณ์ สงบและยินดีในทางสงบแล้ว จึงชื่อว่า ชนะมารพร้อมทั้งพาหนะ ทรงไว้ซึ่งกายอันมีในที่สุด

สเจ อินฺทฺริยสมฺปนฺโน สนฺโต สนฺติปเท รโต

สเจ อินฺทฺริยสมฺปนฺโน     สนฺโต สนฺติปเท รโต
ธาเรติ อนฺติมํ เทหํ     เชตฺวา มารํ สวาหนํ.

[คำอ่าน]

สะ-เจ, อิน-ทริ-ยะ-สำ-ปัน-โน สัน-โต, สัน-ติ-ปะ-เท, ระ-โต
ทา-เร-ติ, อัน-ติ-มัง, เท-หัง เชด-ตะ-วา, มา-รัง, สะ-วา-หะ-นัง

[คำแปล]

“ถ้าเป็นผู้มีอินทรีย์สมบูรณ์ สงบและยินดีในทางสงบแล้ว จึงชื่อว่า ชนะมารพร้อมทั้งพาหนะ ทรงไว้ซึ่งกายอันมีในที่สุด.”

(พุทฺธ) ขุ.อิติ. 25/271.

คำว่า อินทรีย์ ในที่นี้ หมายถึง อินทรีย์ 6 ได้แก่ จักขุนทรีย์ (ตา), โสตินทรีย์ (หู), ฆานินทรีย์ (จมูก), ชิวหินทรีย์ (ลิ้น), กายินทรีย์ (กาย), และมนินทรีย์ (ใจ) อินทรีย์ทั้งหกนี้เป็นประตูที่เชื่อมโยงเรากับโลกภายนอก หากบุคคลใดสามารถทำให้อินทรีย์เหล่านี้สมบูรณ์และอยู่ในอำนาจของสติ ไม่ถูกรบกวนด้วยกิเลส ย่อมเรียกว่าเป็นผู้มีอินทรีย์สมบูรณ์

ผู้มีอินทรีย์สมบูรณ์ย่อมมีความสงบเย็น ไม่หวั่นไหวไปตามรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ เพราะสามารถใช้สติควบคุมการรับรู้อารมณ์ต่าง ๆ ได้ เมื่ออินทรีย์สมบูรณ์ ใจย่อมสงบ และเกิดความยินดีในความสงบโดยไม่ต้องอาศัยสิ่งเร้าภายนอก

ส่วนคำว่า มาร ในพระพุทธศาสนา มิได้หมายถึงภูตผีปีศาจ แต่หมายถึงสิ่งที่ขัดขวางการบรรลุธรรมทั้งปวง ได้แก่ มาร 5 ประการ คือ ขันธมาร (ขันธ์ 5 ที่เป็นภาระหนัก), กิเลสมาร (กิเลสที่ครอบงำจิต), อภิสังขารมาร (การปรุงแต่งที่ทำให้เวียนว่าย), มัจจุมาร (ความตาย), และเทวปุตตมาร (สิ่งยั่วยวนที่ทำให้ไขว้เขว)

บุคคลผู้ยังไม่ฝึกฝนอินทรีย์ย่อมพ่ายแพ้ต่อมารเหล่านี้ได้ง่าย เพราะเมื่อใจไม่สงบ ตาก็ไหลไปตามรูป หูก็ไหลไปตามเสียง ใจก็ถูกรบกวนด้วยกิเลส แต่ผู้ที่ฝึกตนจนมีอินทรีย์สมบูรณ์แล้ว ย่อมสามารถชนะมารได้ทั้งหมด

การชนะมารพร้อมทั้งพาหนะ หมายความว่า ไม่เพียงเอาชนะตัวมารเท่านั้น แต่ยังชนะอุปกรณ์และเครื่องมือทั้งหลายที่มารใช้เป็นเครื่องผูกมัดใจ เช่น ราคะที่ผูกด้วยความกำหนัด โทสะที่ผูกด้วยความโกรธ และโมหะที่ผูกด้วยความไม่รู้ เมื่อใจไม่หวั่นไหวต่อสิ่งเหล่านี้ ก็ถือว่าได้ชนะมารอย่างแท้จริง

ผู้ที่ชนะมารได้ ย่อมไม่กลับมาตกอยู่ในอำนาจของมารอีกต่อไป จิตใจเป็นอิสระจากกิเลสทั้งปวง ไม่มีสิ่งใดมาครอบงำหรือทำให้หวั่นไหวได้อีก การดำเนินชีวิตจึงเต็มไปด้วยความสงบเย็น และมุ่งตรงไปสู่ความพ้นทุกข์

คำว่า กายอันมีในที่สุด หมายถึงกายที่สิ้นสุดลงในชาตินี้ ไม่ต้องเกิดอีกในภพหน้า เพราะบุคคลนั้นได้บรรลุอรหัตผลแล้ว เป็นการสิ้นสุดของการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ ไม่ต้องแบกรับภพชาติใหม่อีกต่อไป

กายนี้แม้ยังคงดำรงอยู่ตามธรรมชาติ แต่เมื่อหมดสิ้นอาสวะและกิเลสทั้งปวงแล้ว กายนี้ก็เป็นเพียงกายสุดท้าย ไม่มีการสืบต่อ ไม่มีการเกิดใหม่ เป็นการหลุดพ้นอย่างสมบูรณ์ที่พระพุทธศาสนาเรียกว่า “นิพพาน”

ดังนั้น ผู้ที่มีอินทรีย์สมบูรณ์ สงบและยินดีในทางสงบ ย่อมเป็นผู้ชนะมารทั้งปวง พร้อมทั้งพาหนะ และดำรงอยู่ด้วยกายอันมีในที่สุด เป็นแบบอย่างแห่งบัณฑิตผู้หลุดพ้น ที่แสดงให้เห็นว่า การฝึกอินทรีย์และการปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธองค์ นำไปสู่ความสงบเย็นและความพ้นทุกข์อย่างแท้จริง.