ผู้ถูกมานะหลอกลวง เศร้าหมองอยู่ในสังขาร ถูกลาภและความเสื่อมลาภย่ำยี ย่อมไม่ลุถึงสมาธิ

มาเนน วญฺจิตา เส

มาเนน วญฺจิตา เส     สงฺขาเรสุ สงฺกิลิสสมานา เส
ลาภาลาเภน มถิตา     สมาธึ นาธิคจฺฉนฺติ.

[คำอ่าน]

มา-เน-นะ, วัน-จิ-ตา, เส     สัง-ขา-เร-สุ, สัง-กิ-ลิด-สะ-มา-นา, เส
ลา-พา-ลา-เพ-นะ, มะ-ถิ-ตา     สะ-มา-ทิง, นา-ทิ-คัด-ฉัน-ติ

[คำแปล]

“ผู้ถูกมานะหลอกลวง เศร้าหมองอยู่ในสังขาร ถูกลาภและความเสื่อมลาภย่ำยี ย่อมไม่ลุถึงสมาธิ.”

(เสตุจฺฌเถร) ขุ.เถร. 26/283.

“มานะ” ในทางพระพุทธศาสนา หมายถึง “ความถือตัว” หรือ “การยึดมั่นในตนเอง” ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเรายิ่งใหญ่กว่าผู้อื่น เสมอกับผู้อื่น หรือด้อยกว่าผู้อื่น การเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นในลักษณะนี้ ทำให้เกิดการแบ่งแยก ความคิดที่ยึดมั่นว่าเราต้องการจะเป็นที่ยอมรับ เหนือกว่า หรือแม้แต่การคิดว่าตัวเองด้อยกว่าผู้อื่น ก็ล้วนเป็นการแสดงออกของ “มานะ”

โทษของมานะ คือ

  • ก่อให้เกิดความทุกข์: มานะทำให้จิตใจของเราตกอยู่ในสภาวะที่ไม่พอใจในสิ่งที่มี ไม่พอใจในตัวเองหรือต่อผู้อื่น เพราะมักเกิดจากการเปรียบเทียบ ซึ่งจะนำไปสู่ความเครียดหรือความทุกข์ใจได้ง่าย
  • ทำให้เกิดการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น: มานะส่งเสริมให้คนต้องการเอาชนะผู้อื่น ไม่พอใจในความสำเร็จของผู้อื่น ทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม
  • เป็นอุปสรรคต่อการเจริญทางธรรม: มานะทำให้เรายึดมั่นในความสำคัญของตัวเองมากเกินไป ทำให้ยากต่อการเปิดใจยอมรับคำสอนของพระพุทธเจ้า รวมถึงการลดละอัตตา (ตัวตน) และเข้าถึงนิพพาน
  • ทำลายความสัมพันธ์กับผู้อื่น: การถือตัวและมองว่าตนเองดีกว่าหรือแย่กว่าผู้อื่น ทำให้เราไม่สามารถเข้าใจและยอมรับผู้อื่นได้เต็มที่ นำไปสู่ความขัดแย้งหรือความไม่ลงรอยในสังคม

คำว่า “เศร้าหมองอยู่ในสังขาร” หมายถึง การที่จิตใจของเราถูกครอบงำหรือปนเปื้อนด้วยกิเลส ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นจากสังขาร (สังขารในที่นี้หมายถึงสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย จิตใจ หรือสิ่งภายนอก) เมื่อจิตใจถูกครอบงำด้วยความโลภ โกรธ หลง ก็จะทำให้จิตใจเศร้าหมอง หมายถึงไม่มีความบริสุทธิ์ผ่องใส ไม่สงบ และขาดจากความเป็นอิสระจากกิเลส

โทษที่จะได้รับจากการเศร้าหมองอยู่ในสังขาร ได้แก่

  • ความทุกข์ทางจิตใจ: เมื่อจิตใจเต็มไปด้วยกิเลส จิตจะไม่สงบและเกิดความทุกข์ เช่น ความกังวล ความโกรธ ความเครียด ซึ่งล้วนเป็นผลจากการยึดมั่นในสิ่งต่าง ๆ
  • เวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร: การที่จิตใจยังเศร้าหมองและถูกครอบงำด้วยกิเลส ย่อมเป็นอุปสรรคต่อการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด (วัฏสงสาร) เพราะยังไม่สามารถละวางกิเลสได้ จิตยังคงยึดติดอยู่ในความต้องการหรือความปรารถนา
  • ขาดจากความสงบสุขที่แท้จริง: ผู้ที่มีจิตใจเศร้าหมองย่อมไม่สามารถเข้าถึงความสุขที่แท้จริงในธรรมะ เพราะจิตถูกปิดกั้นด้วยกิเลส และไม่มีความสงบ จิตยังคงดิ้นรนไปตามอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
  • สูญเสียโอกาสในการพัฒนาทางธรรม: การมีจิตใจที่เศร้าหมองจะทำให้การปฏิบัติธรรมเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะกิเลสจะขัดขวางการเข้าใจธรรมและการเจริญในศีล สมาธิ และปัญญา

คำว่า “ถูกลาภและความเสื่อมลาภย่ำยี” หมายถึง การที่จิตใจของบุคคลถูกครอบงำและสั่นคลอนจากการได้ลาภหรือสูญเสียลาภ ลาภในที่นี้หมายถึงทรัพย์สิน ความสำเร็จ ชื่อเสียง เกียรติยศ หรือสิ่งต่าง ๆ ที่ถือว่าเป็นความสำเร็จหรือความมีอยู่ในชีวิต การที่บุคคลให้ความสำคัญมากเกินไปกับการได้ลาภหรือเสียลาภ ย่อมทำให้จิตใจยินดีหรือเสียใจตามไปด้วย เมื่อมีลาภมาก็รู้สึกยินดี แต่เมื่อเสื่อมลาภก็เกิดความทุกข์ จึงถูกความผันผวนนี้ “ย่ำยี” จิตใจอยู่ตลอดเวลา

โทษที่จะได้รับจากการถูกลาภและความเสื่อมลาภย่ำยี ได้แก่

  • จิตใจไม่มั่นคง: เมื่อจิตใจยึดติดกับลาภหรือเสื่อมลาภ จะทำให้จิตใจไม่มั่นคง เกิดความหวั่นไหวตลอดเวลา เพราะลาภนั้นเป็นสิ่งไม่เที่ยง เมื่อได้มาก็กลัวว่าจะเสียไป เมื่อเสียก็ทุกข์ใจมาก จิตจะอยู่ในภาวะที่ไม่สงบสุข
  • ทุกข์เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง: ความเสื่อมลาภเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน ชื่อเสียง หรือสุขภาพ การที่จิตยึดมั่นในลาภ ย่อมทำให้ทุกข์เมื่อสิ่งเหล่านี้ลดลงหรือสูญเสียไป
  • สร้างความโลภและความอิจฉา: การหลงยึดมั่นในลาภมักจะนำไปสู่ความโลภ และการต้องการที่จะได้มากขึ้น เมื่อเห็นผู้อื่นมีลาภก็อาจเกิดความอิจฉา จิตใจเต็มไปด้วยกิเลสและขาดความสุขสงบ
  • เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรม: การยึดติดในลาภและความเสื่อมลาภเป็นสิ่งที่ขัดขวางการพัฒนาทางธรรม เพราะทำให้จิตใจของบุคคลไม่สามารถละวางความต้องการในโลกธรรมได้ ซึ่งเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงความสงบและปัญญาที่แท้จริง
  • ตกอยู่ในวัฏสงสาร: การยึดติดในลาภและความเสื่อมลาภยังทำให้บุคคลเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร เพราะจิตยังคงถูกครอบงำด้วยกิเลสความยึดมั่นในสิ่งที่เป็นโลกธรรม ไม่สามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ได้

บุคคลที่ยังถูกครอบงำด้วยมานะ ความเศร้าหมองจากกิเลส และความหวั่นไหวต่อการได้และเสียลาภ ย่อมไม่สามารถทำให้จิตตั้งมั่นอยู่ในสมาธิได้ เนื่องจากจิตใจถูกกิเลสและโลกธรรมรบกวนอย่างต่อเนื่อง สมาธิจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากจนกว่าบุคคลนั้นจะสามารถปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ได้.