ผู้ปราศจากราคะและกำจัดโทสะได้แล้วนั้น พึงเจริญเมตตาจิตไม่มีประมาณ ผู้นั้น งดอาชญาในสัตว์ทั้งปวงแล้ว ไม่ถูกติเตียน ย่อมเข้าถึงสถานอันประเสริฐ
ส วีตราโค ส วิเนยฺย โทสํ
เมตฺตจิตฺตํ ภาเวยฺย อปฺปมาณํ
สพฺเพสุ ภูเตสุ นิธาย ทณฺฑํ
อนินฺทิโต พฺรหฺมมุเปติ ฐานํ.
[คำอ่าน]
สะ, วี-ตะ-รา-โค, สะ, วิ-ไน-ยะ, โท-สัง
เมด-ตะ-จิด-ตัง, พา-ไว-ยะ, อับ-ปะ-มา-นัง
สับ-เพ-สุ, พู-เต-สุ, นิ-ทา-ยะ, ทัน-ทัง
อะ-นิน-ทิ-โต, พรำ-มะ-มุ-เป-ติ, ถา-นัง
[คำแปล]
“ผู้ปราศจากราคะและกำจัดโทสะได้แล้วนั้น พึงเจริญเมตตาจิตไม่มีประมาณ ผู้นั้น งดอาชญาในสัตว์ทั้งปวงแล้ว ไม่ถูกติเตียน ย่อมเข้าถึงสถานอันประเสริฐ.”
(สรภงฺคโพธิสตฺต) ขุ.ชา. 27/542.
ราคะ หมายถึง ความปรารถนา ความใคร่ หรือความต้องการทางกายและจิตใจที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ทำให้เกิดความพึงพอใจ ความสุข หรือความหลงใหล ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับความปรารถนาทางเพศ แต่ในบางบริบทสามารถหมายถึงความปรารถนาในวัตถุหรือสิ่งของที่เราต้องการอย่างแรงกล้าได้เช่นกัน ในทางพระพุทธศาสนา ราคะถือเป็นกิเลสอย่างหนึ่งที่ทำให้จิตใจของเราหม่นหมองและหลงอยู่ในวงจรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด (สังสารวัฏ)
โทษของราคะ มีดังนี้
- นำไปสู่ความทุกข์: ราคะทำให้จิตใจไม่สงบ เมื่อไม่สามารถได้สิ่งที่ปรารถนา ก็จะเกิดความทุกข์ ทรมานใจ
- ทำให้เกิดความโลภ: ราคะทำให้คนต้องการมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งอาจนำไปสู่การทำผิดศีลธรรม หรือการเอาเปรียบผู้อื่น
- เป็นอุปสรรคต่อการพ้นทุกข์: ราคะเป็นสิ่งที่ทำให้เรายึดติดกับโลกและวัตถุ เมื่อจิตใจเต็มไปด้วยความปรารถนา จึงยากที่จะปล่อยวางและเข้าถึงความสงบสุขที่แท้จริง
- เกิดการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น: เมื่อมีราคะมากเกินไป อาจทำให้เกิดการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เช่น การเอารัดเอาเปรียบ หรือการทำให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนเพื่อสนองความต้องการของตนเอง
โทสะ หมายถึง ความโกรธ ความไม่พอใจ หรือความไม่สบอารมณ์ที่เกิดขึ้นในจิตใจเมื่อเรารู้สึกถูกกระทบจากสิ่งที่ไม่พึงพอใจ ซึ่งเป็นกิเลสอย่างหนึ่งในทางพระพุทธศาสนา โทสะทำให้จิตใจของเราหม่นหมองและเสียสมดุล ทั้งยังเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการเจริญปัญญาและการพัฒนาตนเอง
โทษของโทสะ มีดังนี้
- ทำให้จิตใจขุ่นมัว: เมื่อเกิดโทสะ จิตใจจะเต็มไปด้วยความโกรธและความไม่พอใจ ทำให้เราสูญเสียความสงบและความสว่างไสวของจิต
- ทำให้เกิดการกระทำที่ไม่ดี: โทสะทำให้เราตัดสินใจผิดพลาดและแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น การทำร้ายผู้อื่นทางกาย วาจา หรือใจ
- เป็นอุปสรรคต่อความสัมพันธ์ที่ดี: เมื่อมีโทสะมากเกินไป อาจทำให้เกิดความแตกแยกกับบุคคลอื่น เพราะความโกรธทำให้เราไม่สามารถควบคุมอารมณ์และการสื่อสารได้ดี
- ทำให้สูญเสียพลังงานและสุขภาพ: ความโกรธและความเครียดที่เกิดจากโทสะสามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทำให้เกิดความเหนื่อยล้าและความเครียดได้
- เป็นอุปสรรคต่อการเจริญปัญญา: โทสะทำให้จิตใจมัวหมอง ไม่สามารถคิดอย่างชัดเจนและรอบคอบได้ ซึ่งส่งผลให้การตัดสินใจและการแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างขาดเหตุผล
เมตตา หมายถึง ความปรารถนาดี ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และความรักใคร่ที่ไม่มีเงื่อนไขต่อผู้อื่น เมตตาคือความรู้สึกอยากให้ผู้อื่นมีความสุข ปราศจากทุกข์ โดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน เป็นการแสดงออกทางจิตใจที่บริสุทธิ์และเต็มไปด้วยความหวังดี บุคคลควรมีเมตตาต่อสรรพสัตว์ทุกชีวิตโดยไม่มีการแบ่งแยกหรือเลือกปฏิบัติ
อานิสงส์ของเมตตา หรือประโยชน์ที่เกิดจากการมีเมตตาตามหลักพระพุทธศาสนา มีดังนี้
- หลับเป็นสุข: เมื่อจิตใจของเรามีเมตตา จะทำให้เรานอนหลับอย่างสงบ ไม่มีความกังวลหรือความทุกข์ที่รบกวนจิตใจ
- ตื่นเป็นสุข: เมื่อจิตใจสงบและเต็มไปด้วยความเมตตา เราจะรู้สึกสดชื่นและมีความสุขเมื่อเราตื่นขึ้นในทุกๆ เช้า
- ไม่ฝันร้าย: การแผ่เมตตาทำให้จิตใจบริสุทธิ์และปลอดโปร่ง ส่งผลให้ไม่เกิดฝันร้ายที่รบกวนการพักผ่อน
- เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย: ผู้ที่มีเมตตาเป็นที่รักและนับถือของมนุษย์คนอื่นๆ เพราะความเมตตาและความอ่อนโยนในจิตใจ
- เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย: ไม่เพียงแต่มนุษย์ที่รักใคร่ แต่เหล่าอมนุษย์ เช่น ภูตผีวิญญาณ ก็จะไม่มารบกวนผู้ที่มีจิตเมตตา
- เทวดารักษา: ผู้ที่แผ่เมตตาจะได้รับการปกป้องคุ้มครองจากเทวดา
- ไฟ ยาพิษ หรือศัสตราไม่กล้ำกราย: ผู้ที่มีจิตเมตตาจะปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ ทั้งไฟ ยาพิษ หรืออาวุธ ไม่สามารถทำร้ายได้ เนื่องจากพลังที่เกิดจากจิตที่บริสุทธิ์และสงบ
- จิตตั้งมั่นได้เร็ว: จิตใจที่ปราศจากความโกรธเคืองและเกลียดชังจะสามารถเข้าถึงสมาธิและตั้งมั่นได้อย่างรวดเร็ว
- สีหน้าสดใส: ความเมตตาที่แผ่ออกมาจากภายในทำให้ใบหน้าสดใส มีออร่าและเปล่งปลั่งอยู่เสมอ
- ไม่หลงลืมสติตาย: เมื่อถึงคราวที่ต้องเสียชีวิต จิตใจของผู้ที่มีเมตตาจะไม่หลงลืมสติและสามารถตายอย่างสงบ
- ถ้ายังไม่บรรลุอรหัตตผล ย่อมเข้าถึงพรหมโลก: หากยังไม่บรรลุถึงนิพพาน ผู้ที่มีเมตตาจะได้ไปเกิดในพรหมโลก
บุคคลผู้กำจัดราคะและโทสะได้แล้ว หมั่นเจริญเมตตาอยู่เป็นประจำโดยไม่มีประมาณ คือแผ่เมตตาไปในสรรพสัตว์ทั้งปวงโดยไม่มีการแบ่งแยกหรือเลือกปฏิบัติ ย่อมได้รับการยกย่องสรรเสริญจากวิญญูชน ไม่ถูกติเตียนในที่ทุกสถาน และย่อมสามารถเข้าถึงสถานอันประเสริฐคือพระนิพพานได้ในที่สุด.