ผู้ติดในสิ่งที่ยึดถือว่าของเรา ย่อมละความเศร้าโศก ความรำพันและความตระหนี่ไม่ได้ เพราะฉะนั้น มุนีทั้งหลายผู้เห็นความปลอดภัย จึงละความยึดถือไปได้
โสกปริเทวมจฺฉรํ
น ชหนฺติ คิทฺธา มมายิเต
ตสฺมา มุนโย ปริคฺคหํ
หิตฺวา อจรึสุ เขมทสฺสิโน.
[คำอ่าน]
โส-กะ-ปะ-ริ-เท-วะ-มัด-ฉะ-รัง
นะ, ชะ-หัน-ติ, คิด-ทา, มะ-มา-ยิ-เต
ตัด-สะ-หมา, มุ-นะ-โย, ปะ-ริก-คะ-หัง
หิด-ตะ-วา, อะ-จะ-ริง-สุ, เข-มะ-ทัด-สิ-โน
[คำแปล]
“ผู้ติดในสิ่งที่ยึดถือว่าของเรา ย่อมละความเศร้าโศก ความรำพันและความตระหนี่ไม่ได้ เพราะฉะนั้น มุนีทั้งหลายผู้เห็นความปลอดภัย จึงละความยึดถือไปได้.”
(พุทฺธ) ขุ.สุ. 25/493, ขุ.มหา 29/154.
บุคคลผู้ยังเป็นปุถุชนอยู่ ยังมีกิเลสตัณหาและอุปาทานอยู่ ย่อมมีความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง บุคคลอันเป็นที่รัก หรือสิ่งใด ๆ ก็ตามที่เขายึดถือว่าเป็นของตน เมื่อมีความยึดมั่นถือมั่นอยู่เช่นนี้ ย่อมมีความดีใจเมื่อได้ครอบครองหรือมีสิ่งที่ตนปรารถนา ย่อมหวงแหนสิ่งที่ตนรักหรือคนที่ตนรัก และย่อมเสียใจเมื่อสูญเสียสิ่งที่ตนหวงแหนหรือบุคคลที่ตนรัก
บุคคลผู้มีความยึดมั่นถือมั่นอยู่เช่นนี้ ย่อมไม่สามารถหนีพ้นจากความเศร้าโศกเสียใจพิไรรำพัน และไม่สามารถตัดความตระหนี่ถี่เหนียวออกจากจิตใจได้
มุนีทั้งหลายผู้เห็นความปลอดภัย ในที่นี้หมายถึงผู้มีปัญญา หรือพระอริยะที่สามารถเข้าใจและเห็นความเป็นจริงของโลกตามหลักอริยสัจ 4 ว่าทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนไม่เที่ยง (อนิจจัง) มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดา เมื่อเข้าใจในความไม่เที่ยงและความเป็นอนัตตา (ความไม่มีตัวตน) แล้ว ผู้มีปัญญาจึงสามารถปล่อยวาง คือละความยึดถือจากสิ่งเหล่านั้นได้ เพราะเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่จะยึดมั่นถือมั่นเป็นของเราอย่างแท้จริง ทุกสิ่งมีการเปลี่ยนแปลงตามเหตุปัจจัยอยู่เสมอ
บุคคลผู้เป็นมุนีดังกล่าว ย่อมไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง เมื่อไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ก็ย่อมสามารถตัดความเศร้าโศกเสียใจพิไรรำพันได้ และละทิ้งความตระหนี่ได้ มีชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างมีความสุขอันเป็นสุขที่เหนือโลก คือไม่ใช่ความสุขแบบที่ชาวโลกทั่วไปเขามีกัน แต่เป็นความสุขในระดับที่เป็นโลกุตระ เป็นสุขที่ไม่กลับมาทุกข์อีก นั่นคือความสุขในพระนิพพาน เมื่อดับขันธ์ไปแล้วย่อมไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดประสบกับทุกข์ใหญ่ในวัฏสงสารอีกต่อไป.