กาลย่อมล่วงไป ราตรีย่อมผ่านไป ชั้นแห่งวัยย่อมละลำดับไป ผู้เล็งเห็นภัยในมรณะนั้น พึงทำบุญอันนำสุขมาให้
อจฺเจนฺติ กาลา ตรยนฺติ รตฺติโย
วโยคุณา อนุปุพฺพํ ชหนฺติ
เอตํ ภยํ มรเณ เปกฺขมาโน
ปุญฺญานิ กยิราถ สุขาวหานิ.
[คำอ่าน]
อัด-เจน-ติ, กา-ลา, ตะ-ระ-ยัน-ติ, รัด-ติ-โย
วะ-โย-คุ-นา, อะ-นุ-ปุบ-พัง, ชะ-หัน-ติ
เอ-ตัง, พะ-ยัง, มะ-ระ-เน, เปก-ขะ-มา-โน
ปุน-ยา-นิ, กะ-ยิ-รา-ถะ, สุ-ขา-วะ-หา-นิ
[คำแปล]
“กาลย่อมล่วงไป ราตรีย่อมผ่านไป ชั้นแห่งวัยย่อมละลำดับไป ผู้เล็งเห็นภัยในมรณะนั้น พึงทำบุญอันนำสุขมาให้.”
(นนฺทเทวปุตฺต) สํ.ส. 15/89.
กาลเวลาเป็นสิ่งที่เดินไปตลอดอย่างไม่มีวันหยุดนิ่ง และทุกวินาทีที่ผ่านไปแล้วไม่สามารถที่จะหวนคืนกลับมาได้เลย เมื่อเวลาไม่สามารถที่จะหวนคืนกลับมาได้ ทุก ๆ การกระทำของเราที่ได้ทำไปแล้วก็ไม่สามารถกลับมาแก้ไขได้อีกเช่นเดียวกัน
ทุก ๆ วินาทีที่วันคืนผ่านพ้นไป ชีวิตของคนและสัตว์ทั้งหลายก็น้อยลงไปทุกขณะ คือช่วงอายุที่ผ่านไปแล้วเพิ่มมากขึ้น แต่ช่วงอายุที่เหลือจะน้อยลงทุกที เมื่อกาลเวลาผ่านไปถึงขีดจำกัดอายุของแต่ละคน ย่อมเข้าถึงความตายในวาระสุดท้ายของชีวิต
ความตายนั้นถือว่าเป็นภัยอย่างหนึ่งของชีวิต คนและสัตว์ทั้งหลายย่อมสะดุ้งกลัวต่อความตาย แต่ไม่ว่าจะกลัวอย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีใครเลยสักคนที่จะสามารถหนีความตายพ้น ทุกคนต้องตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อตระหนักถึงความตายที่จะต้องมาถึงอย่างแน่นอนนี้แล้ว บุคคลผู้มีปัญญาทั้งหลายย่อมไม่มัวมานั่งกลัวความตาย แต่กลับจะเร่งสร้างคุณงามความดีให้ได้มากที่สุด สร้างประโยชน์ให้แก่ตนเองและสังคมให้ได้มากที่สุด สร้างบุญบารมีให้ได้มากที่สุด เพราะบุญบารมีและความดีทั้งปวงที่ได้กระทำไว้นี้จะเป็นสิ่งที่อำนวยความสุขความเจริญให้แก่บุคคลในภพเบื้องหน้าหลังจากตายไปแล้ว
ดังนั้น เราทั้งหลายพึงเร่งขวนขวายสร้างบุญกุศลอันเป็นเหตุแห่งความสุขเอาไว้ให้มาก ๆ ก่อนที่ชีวิตอันน้อยนิดนี้จะสิ้นสุดลง จึงจะไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นคน.