ผู้ใดเห็นศีล ปัญญา และสุตะ ในตน ผู้นั้นย่อมประพฤติประโยชน์ตนและผู้อื่น ทั้ง 2 ฝ่าย

โย จ สีลญฺจ ปญฺญญฺจ สุตญฺจตฺตนิ ปสฺสติ

โย จ สีลญฺจ ปญฺญญฺจ     สุตญฺจตฺตนิ ปสฺสติ
อุภินฺนมตฺถํ จรติ     อตฺตโน จ ปรสฺส จ.

[คำอ่าน]

โย, จะ, สี-ลัน-จะ, ปัน-ยัน-จะ     สุ-ตัน-จัด-ตะ-นิ, ปัด-สะ-ติ
อุ-พิน-นะ-มัด-ถัง, จะ-ระ-ติ     อัด-ตะ-โน, จะ, ปะ-รัด-สะ, จะ

[คำแปล]

“ผู้ใดเห็นศีล ปัญญา และสุตะ ในตน ผู้นั้นย่อมประพฤติประโยชน์ตนและผู้อื่น ทั้ง 2 ฝ่าย.”

(โพธิสตฺต) ขุ.ชา.สตฺตก. 27/221.

บุคคลผู้มีศีล เป็นผู้ที่รู้จักควบคุมตนเองให้อยู่ในกรอบของความดีงาม มีความประพฤติที่เหมาะสมทั้งทางกาย วาจา และใจ เป็นผู้ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ใคร ชีวิตของเขายึดมั่นในหลักคุณธรรม ทำให้เป็นที่ไว้วางใจของคนรอบข้าง การมีศีลเป็นพื้นฐานนั้นเปรียบเสมือนรากฐานของความดีงามอื่น ๆ ที่จะตามมาในชีวิต

นอกจากศีลแล้ว ปัญญาก็เป็นอีกคุณสมบัติสำคัญของบุคคล ผู้มีปัญญาย่อมสามารถพิจารณาแยกแยะถูกผิด ดีชั่ว ได้อย่างชัดเจน ไม่หลงผิดง่าย ๆ สามารถใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหาและดำรงชีวิตได้อย่างเหมาะสม ทั้งยังช่วยเตือนสติตนเองและผู้อื่นในยามที่เผชิญกับสิ่งยั่วยุหรือความหลงผิดได้

ผู้มีความรู้มาก เป็นผู้ได้ศึกษาเล่าเรียนในทางที่เป็นประโยชน์แก่ชีวิต และไม่หยุดพัฒนาตนเอง ความรู้ที่ได้มานั้นไม่เพียงแต่ใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปใช้ในการอบรม แนะนำ หรือให้ความรู้แก่ผู้อื่นในทางที่ดีงาม เป็นการสร้างคุณค่าให้แก่สังคมรอบข้างได้อีกทางหนึ่ง

เมื่อบุคคลหนึ่งมีทั้งศีล ปัญญา และความรู้มาก เขาย่อมสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างราบรื่น ไม่ขัดแย้งกับใคร และสามารถเป็นที่ปรึกษาหรือผู้นำในหมู่คณะได้ด้วยความน่าเชื่อถือ เป็นผู้สร้างความสงบสุขให้แก่ทั้งตนเองและผู้คนรอบข้าง

บุคคลเช่นนี้จึงได้ชื่อว่า “บำเพ็ญประโยชน์ทั้งสองฝ่าย” คือฝ่ายตนเอง ก็ได้ความสุข สงบ และมั่นคงในชีวิต ฝ่ายผู้อื่น ก็ได้รับประโยชน์จากความรู้ การแนะนำ และแบบอย่างที่ดีของเขา เป็นการแบ่งปันคุณงามความดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

คนเช่นนี้มักได้รับความรักและความเคารพจากผู้คนในสังคม เพราะใคร ๆ ก็ย่อมชื่นชมผู้ที่มีจิตใจดี มีความรู้ และไม่เห็นแก่ตัว เป็นผู้เสียสละเพื่อส่วนรวม ไม่หวังเพียงประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น แต่ยังบำเพ็ญประโยชน์สาธารณะด้วย ผู้คนจึงยินดีเข้าใกล้ และอยากอยู่ร่วมด้วย

สังคมใดที่มีบุคคลประเภทนี้อยู่มาก สังคมนั้นก็ย่อมเจริญงอกงามอย่างมั่นคง เพราะมีรากฐานของคุณธรรมและปัญญาเป็นตัวขับเคลื่อน ไม่ต้องพึ่งพาแต่เพียงกฎหมายหรือบทลงโทษ เพราะความดีงามได้ฝังอยู่ในจิตใจของผู้คนแล้ว

ดังนั้น เราทุกคนจึงควรฝึกฝนตนให้มีศีล มีปัญญา และใฝ่หาความรู้อยู่เสมอ เพื่อจะได้เป็นบุคคลที่มีคุณค่าทั้งต่อตนเองและต่อสังคม เป็นผู้ที่สังคมต้องการ และสามารถสร้างความสงบสุขให้แก่โลกใบนี้ได้อย่างแท้จริง.