เมื่อพ้นเพราะรู้ชอบ สงบคงที่แล้ว ใจของเขาก็สงบ คำพูดและการกระทำก็สงบ

สนฺตํ ตสฺส มนํ โหติ สนฺตา วาจา จ กมฺม จ สมฺมทญฺญา วิมุตฺตสฺส อุปสนฺตสฺส ตาทิโน

สนฺตํ ตสฺส มนํ โหติ     สนฺตา วาจา จ กมฺม จ
สมฺมทญฺญา วิมุตฺตสฺส     อุปสนฺตสฺส ตาทิโน.

[คำอ่าน]

สัน-ตัง, ตัด-สะ, มะ-นัง, โห-ติ…..สัน-ตา, วา-จา, จะ, กำ-มะ, จะ
สำ-มะ-ทัน-ยา, วิ-มุด-ตัด-สะ…..อุ-ปะ-สัน-ตัด-สะ, ตา-ทิ-โน

[คำแปล]

“เมื่อพ้นเพราะรู้ชอบ สงบคงที่แล้ว ใจของเขาก็สงบ คำพูดและการกระทำก็สงบ.”

(พุทฺธ) ขุ.ธ. 25/28.

คําว่า “รู้ชอบ” หมายถึง สัมมาญาณ ซึ่งจัดเป็นผลญาณ คือ ญาณอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากมรรคญาณ คือ โสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล และอรหัตตผล และปัจจเวกขณญาณ เมื่อศีล สมาธิ ปัญญา เกิดความสมบูรณ์เต็มที่ ก็จะเกิดญาณผุดขึ้นภายในใจของบุคคลนั้น แล้วรู้แจ้งอริยสัจ 3 ระดับ คือ

  1. สัจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้อริยสัจ
  2. กิจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันควรทำ
  3. กตญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันได้กระทำแล้ว

ความรู้ชั้นนี้เรียกว่า “สัมมาญาณ” คือ ความรู้ในทางที่ชอบ จัดเป็นองค์อริยมรรคที่แท้จริง

เมื่อบุคคลปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนเกิดความรู้ชอบ คือเกิดญาณทั้ง 3 ประการนั้นขึ้นมาแล้ว จิตใจย่อมสงบ คือสงบระงับจากกิเลสอาสวะทั้งปวง ไม่ถูกกิเลสตัณหาทั้งหลายครอบงำชักจูงได้อีก เมื่อใจสงบจากกิเลสอาสวะทั้งปวงแล้ว ทั้งคำพูดและการกระทำก็สงบตามไปด้วย คือ เมื่อพูดย่อมพูดแต่สิ่งที่เป็นวจีสุจริต เมื่อทำก็ย่อมทำแต่สิ่งที่เป็นกายสุจริต เพราะจิตได้หลุดพ้นจากบาปธรรมทั้งปวงแล้วนั่นเอง