ผู้ใดในโลกนี้ สำรวมทางกาย วาจา และใจ ไม่ทำบาปอะไร ๆ และไม่พูดพล่อย เพราะเหตุแห่งตน ท่านเรียกคนอย่างนั้นว่า ผู้มีศีล

กาเยน วาจาย จ โยธ สญฺญโต มนสา จ กิญฺจิ น กโรติ ปาปํ น อตฺตเหตุ อลิกํ ภณาติ ตถาวิธํ สีลวนฺตํ วทนฺติ

กาเยน วาจาย จ โยธ สญฺญโต
มนสา จ กิญฺจิ น กโรติ ปาปํ
น อตฺตเหตุ อลิกํ ภณาติ
ตถาวิธํ สีลวนฺตํ วทนฺติ.

[คำอ่าน]

กา-เย-นะ, วา-จา-ยะ, จะ, โย-ทะ, สัน-ยะ-โต
มะ-นะ-สา, จะ, กิน-จิ, นะ, กะ-โร-ติ, ปา-ปัง
นะ, อัต-ตะ-เห-ตุ, อะ-ลิ-กัง, พะ-นา-ติ
ตะ-ถา-วิ-ทัง, สี-ละ-วัน-ตัง, วะ-ทัน-ติ

[คำแปล]

“ผู้ใดในโลกนี้ สำรวมทางกาย วาจา และใจ ไม่ทำบาปอะไร ๆ และไม่พูดพล่อย เพราะเหตุแห่งตน ท่านเรียกคนอย่างนั้นว่า ผู้มีศีล.”

(สรภงฺคโพธิสตฺต) ขุ.ชา.จตฺตาฬีส. 27/540.

สุภาษิตนี้เน้นถึงคุณสมบัติของผู้มีศีลในแง่ของการสำรวมกาย วาจา และใจ ซึ่งเป็นการรักษาศีลและปฏิบัติตามหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนา การสำรวมกายหมายถึงการควบคุมการกระทำทางกายให้ถูกต้องไม่ละเมิดศีล ไม่ทำบาปใดๆ ที่เกิดจากการกระทำทางกาย เช่น การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ เป็นต้น

ในด้านของการสำรวมวาจา หมายถึงการควบคุมการพูดให้ถูกต้อง ไม่พูดคำหยาบคาย ไม่พูดโกหก ไม่พูดส่อเสียด หรือพูดทำลายผู้อื่น การพูดอย่างสำรวมแสดงถึงการมีความรับผิดชอบต่อคำพูดและการสื่อสารที่ดี

การสำรวมใจ เป็นการควบคุมความคิดและจิตใจให้ไม่คิดทำบาปหรือมีความคิดที่ไม่ดี ไม่คิดพยาบาท ไม่คิดอาฆาต การสำรวมใจเป็นสิ่งที่ยากที่สุดแต่ก็เป็นพื้นฐานสำคัญในการปฏิบัติธรรมและการรักษาศีล

ผู้ที่สามารถสำรวมกาย วาจา และใจได้อย่างครบถ้วนและสม่ำเสมอ จึงเรียกได้ว่าเป็นผู้มีศีล การมีศีลเป็นการสร้างความสงบสุขให้แก่ตนเองและผู้อื่น การไม่ทำบาปทั้งทางกาย วาจา และใจเป็นการสร้างบุญกุศลและทำให้ชีวิตมีความสุข

การไม่พูดพล่อยหรือพูดจากความรู้สึกส่วนตัวโดยไม่มีเหตุผล เป็นการแสดงออกถึงการมีปัญญาและการรู้จักควบคุมอารมณ์ การพูดในสิ่งที่ดีและสร้างสรรค์จะช่วยสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อผู้อื่น

ผู้ที่สามารถสำรวมกาย วาจา และใจได้อย่างดี ย่อมเป็นที่ยกย่องและเคารพในสังคม การมีศีลไม่เพียงแค่เป็นความประพฤติดีส่วนบุคคลเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างสรรค์สังคมให้น่าอยู่และมีความสงบสุขในภาพรวมอีกด้วย.