ผู้ใดเป็นผู้เยือกเย็น ไม่มีอุปธิ ไม่ติดในกาม ผู้นั้นเป็นพราหมณ์ เป็นผู้ดับแล้ว อยู่เป็นสุขทุกเมื่อ

สพฺพทา เว สุขํ เสติ

สพฺพทา เว สุขํ เสติ     พฺราหฺมโณ ปรินิพฺพุโต
โย น ลิมฺปติ กาเมสุ     สีติภูโต นิรูปธิ.

[คำอ่าน]

สับ-พะ-ทา, เว, สุ-ขัง, เส-ติ     พราม-มะ-โน, ปะ-ริ-นิบ-พุ-โต
โย, นะ, ลิม-ปะ-ติ, กา-เม-สุ     สี-ติ-พู-โต, นิ-รู-ปะ-ทิ

[คำแปล]

“ผู้ใดเป็นผู้เยือกเย็น ไม่มีอุปธิ ไม่ติดในกาม ผู้นั้นเป็นพราหมณ์ เป็นผู้ดับแล้ว อยู่เป็นสุขทุกเมื่อ.”

(พุทฺธ) สํ.ส. 15/312.

คำว่า “ผู้เยือกเย็น” “ไม่มีอุปธิ” “ไม่ติดในกาม” “ผู้ดับแล้ว” ทั้งหมดนี้หมายถึง พระอรหันต์ ได้แก่บุคคลที่บรรลุธรรมขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา เป็นผู้ที่ได้รู้แจ้งในสัจธรรมและหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป เนื่องจากท่านได้ทำลายอวิชชา (ความไม่รู้) และตัณหา (ความอยาก) ที่เป็นรากเหง้าของทุกข์จนหมดสิ้นแล้ว

คำว่า “พราหมณ์” ในสุภาษิตนี้ไม่ได้หมายถึงพราหมณ์หรือบุคคลผู้ที่นับถือศาสนาพราหมณ์แต่อย่างใด แต่หมายถึงบุคคลผู้มีความประพฤติประเสริฐ บริสุทธิ์หมดจดจากบาปทั้งปวง หรือที่เรียกว่าผู้มีบาปอันลอยแล้ว โดยสรุปก็คือไม่มีบาปนั่นเอง ที่เรียกว่า ไม่มีบาป หมายถึง บุคคลเช่นนี้เป็นผู้ปราศจากกิเลสที่เป็นเหตุให้กระทำบาปแล้ว จึงมีความประพฤติที่ประเสริฐ ไม่กระทำกรรมที่เป็นบาปอกุศลอีกต่อไป

บุคคลดังกล่าว ได้ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ผู้บรรลุธรรมสูงสุดในพุทธศาสนา ดับกิเลสอันเป็นเหตุแห่งทุกข์และการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว เมื่อยังมีชีวิตอยู่ย่อมเป็นอยู่ด้วยความสุขอันเป็นโลกุตตระในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ เมื่อถึงคราวดับขันธ์ย่อมเข้าถึงอนุปาทิเสสนิพพาน ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอีกต่อไป.