ผู้ใดทำราคะ โทสะ มานะ และมักขะ ให้ตกไป เหมือนทำให้เมล็ดผักกาดตกจากปลายเหล็กแหลม เราเรียกผู้นั้นว่า พราหมณ์

ยสฺส ราโค จ โทโส จ

ยสฺส ราโค จ โทโส จ     มาโน มกฺโข จ ปาติโต
สาสโปริว อารคฺคา     ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ.

[คำอ่าน]

ยัด-สะ, รา-โค, จะ, โท-โส, จะ     มา-โน, มัก-โข, จะ, ปา-ติ-โต
สา-สะ-โป-ริ-วะ, อา-รัก-คา     ตะ-มะ-หัง, พรู-มิ, พราม-มะ-นัง

[คำแปล]

“ผู้ใดทำราคะ โทสะ มานะ และมักขะ ให้ตกไป เหมือนทำให้เมล็ดผักกาดตกจากปลายเหล็กแหลม เราเรียกผู้นั้นว่า พราหมณ์.”

(พุทฺธ) ขุ.ธ. 25/69.

ราคะ โทสะ มานะ และมักขะ เป็นสิ่งที่กีดขวางการพัฒนาจิตใจและการบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนา สิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรคที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถเข้าถึงความสงบสุขแท้จริง ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า หากเราสามารถทำลายสิ่งเหล่านี้ได้ เราจะเป็นผู้มีความประพฤติประเสริฐ และห่างไกลจากบาป

คำว่า “ราคะ” หมายถึง ความอยากได้ ความหลงในกาม ความยึดมั่นในสิ่งที่ต้องการ การหลงไหลในโลกีย์ ร่างกาย หรือสิ่งของภายนอกที่ทำให้คนปรารถนาไม่สิ้นสุด การหลงราคะทำให้เกิดความทุกข์ เนื่องจากการยึดติดในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เมื่อราคะมีอยู่ในจิตใจ มนุษย์จะไม่มีวันรู้สึกเพียงพอ และอยู่ในภาวะของความขาดอยู่ตลอดเวลา

“โทสะ” คือ ความโกรธ ความไม่พอใจที่เกิดขึ้นจากสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่เป็นไปตามความต้องการของตน โทสะทำให้จิตใจขุ่นมัว ไม่สงบ และไม่สามารถมองเห็นสัจธรรมได้ชัดเจน คนที่อยู่ภายใต้อำนาจของโทสะมักจะกระทำในสิ่งที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อทั้งตัวเองและผู้อื่น โทสะจึงเป็นหนึ่งในกิเลสที่บั่นทอนความสงบสุขในชีวิตอย่างชัดเจน

“มานะ” หมายถึง ความถือตัว ความยกตนข่มท่าน การถือว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นในด้านความรู้ ความสามารถ หรือสถานะทางสังคม การหลงมานะทำให้คนขาดความเมตตาและไม่สามารถเข้าใจความทุกข์ของผู้อื่นได้ การลดทอนมานะจะทำให้เราสามารถเปิดใจกว้างและยอมรับความแตกต่างของผู้อื่นได้มากขึ้น

ส่วน “มักขะ” คือ การไม่ยอมรับคุณงามความดีของผู้อื่น การหมิ่นประมาทหรือไม่เห็นคุณค่าของคนอื่น มักขะทำให้คนเกิดความลำเอียงและไม่ยุติธรรม ส่งผลให้ความสัมพันธ์ในสังคมเกิดความขัดแย้ง คนที่มีมักขะในใจมักจะมองไม่เห็นความดีของผู้อื่นและคอยเปรียบเทียบเพื่อยกย่องตนเองตลอดเวลา

การทำลาย ราคะ โทสะ มานะ และมักขะ ให้หมดไปจากจิตใจนั้นเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่สามารถทำได้ผ่านการปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง เช่น การเจริญสติและสมาธิ การพิจารณาถึงความไม่เที่ยงของทุกสิ่งในโลก และการฝึกปล่อยวางจากความยึดติดทั้งหลาย เมื่อคนสามารถก้าวผ่านกิเลสเหล่านี้ได้ จะพบกับความสงบสุขภายในที่แท้จริง

คนที่สามารถทำลายกิเลสทั้งสี่นี้ได้ จัดว่าเป็น “ผู้ห่างไกลจากบาป” หรือผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ ไม่หลงติดอยู่ในความมืดของกิเลสอีกต่อไป การประพฤติตนเช่นนี้ถือเป็นการดำรงตนด้วยความประเสริฐสูงสุด เพราะไม่เพียงแต่จะทำให้ตนเองมีความสุขสงบ แต่ยังสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้อื่นในสังคมด้วย.