ผู้ใดไม่มีกามอยู่ ผู้ใดไม่มีตัณหา และผู้ใดข้ามความสงสัยได้ ผู้นั้นย่อมมีความพ้นที่ไม่แปรผันเป็นอย่างอื่นอีก
ยสฺมึ กามา น วสนฺติ ตณฺหา ยสฺส น วิชฺชติ
กถงฺกถา จ โย ติณฺโณ วิโมกฺโข ตสฺส นาปโร.
[คำอ่าน]
ยัด-สะ-หมิง, กา-มา, นะ, วะ-สัน-ติ…..ตัน-หา, ยัด-สะ, นะ, วิด-ชะ-ติ
กะ-ถัง-กะ-ถา, จะ, โย, ติน-โน…..วิ-โมก-โข, ตัด-สะ, นา-ปะ-โร
[คำแปล]
“ผู้ใดไม่มีกามอยู่ ผู้ใดไม่มีตัณหา และผู้ใดข้ามความสงสัยได้ ผู้นั้นย่อมมีความพ้นที่ไม่แปรผันเป็นอย่างอื่นอีก.”
(พุทฺธ) ขุ.สุ. 25/543, ขุ.จู. 30/170.
กาม หมายถึง ความใคร่หรือความพึงพอใจในสิ่งที่น่าปรารถนา ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็นสองประเภทหลัก ได้แก่
- กิเลสกาม ความอยากในใจที่เกิดขึ้นเมื่อพบเห็นสิ่งที่น่าพึงพอใจ เช่น ความปรารถนาในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสต่าง ๆ
- วัตถุกาม สิ่งที่เป็นรูปธรรมที่ทำให้เกิดความพึงพอใจ เช่น ทรัพย์สินเงินทอง อาหารการกิน สถานที่พักอาศัย เป็นต้น
ตัณหา คือ ความทะยานอยาก สามารถแบ่งออกได้เป็นสามลักษณะ คือ
- กามตัณหา ความอยากในกามทั้งหลาย ทั้งกิเลสกามและวัตถุกาม เช่น ความอยากได้สิ่งของที่น่าพอใจต่าง ๆ
- ภวตัณหา ความอยากมีอยากเป็น เช่น ความทะเยอทะยานในอำนาจ เกียรติยศ ชื่อเสียง และตำแหน่งต่าง ๆ
- วิภวตัณหา ความอยากหลุดพ้นจากสิ่งที่ไม่ชอบใจ เช่น ความต้องการให้ปัญหาหรือความทุกข์หายไป
ความสงสัย หมายถึง ความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย ซึ่งประกอบไปด้วย
- พระพุทธเจ้า พระผู้ตรัสรู้และเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
- พระธรรม คำสอนและหลักการที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน
- พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าและเผยแพร่พระธรรม (หมายเอาพระอริยสงฆ์)
ผู้ที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอย่างจริงจังและต่อเนื่อง จนสามารถยังวิปัสสนาญาณให้เกิดขึ้นมาได้ สามารถทำลายกาม ตัณหา และความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัยได้ เมื่อสามารถกำจัดสิ่งเหล่านี้ได้แล้ว ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้หลุดพ้นจากอำนาจของกิเลสตัณหาทั้งปวง พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ซึ่งทำให้ไม่ต้องเผชิญกับความทุกข์และความเจ็บปวดที่เกิดจากกิเลสตัณหาอีกต่อไป เป็นการพ้นจากความเป็นทุกข์และเป็นอิสระจากการวนเวียนในโลกนี้อย่างแท้จริง