ผู้ใดมีจิตคุ้มครองแล้ว ฟังคำสอนของพระชินเจ้า ผู้นั้นชื่อว่าทำให้อาสวะทั้งปวงสิ้นไป ฯลฯ
โย จ คุตฺเตน จิตฺเตน สุณาติ ชินสาสนํ
เขเปตฺวา อาสเว สพฺเพ สจฺฉิกตฺวา อกุปฺปตํ
ปปฺปุยฺย ปรมํ สนฺตึ ปรินิพฺพาติ อนาสโว.
[คำอ่าน]
โย, จะ, คุด-เต-นะ, จิด-เต-นะ สุ-นา-ติ, ชิ-นะ-สา-สะ-นัง
เข-เปด-ตะ-วา, อา-สะ-เว, สับ-เพ สัด-ฉิ-กัด-ตะ-วา, อุ-กุป-ปะ-ตัง
ปับ-ปุย-ยะ, ปะ-ระ-มัง, สัน-ติง ปะ-ริ-นิบ-พา-ติ, อะ-นา-สะ-โว
[คำแปล]
“ผู้ใดมีจิตคุ้มครองแล้ว ฟังคำสอนของพระชินเจ้า ผู้นั้นชื่อว่าทำให้อาสวะทั้งปวงสิ้นไป ทำให้แจ้งซึ่งอกุปปธรรม บรรลุความสงบอย่างยิ่ง ไม่มีอาสวะย่อมดับสนิท.”
(ยสทตฺตเถร) ขุ.เถร. 26/323.
คำว่า “มีจิตคุ้มครองแล้ว” หมายถึง สภาวะจิตที่ได้รับการปกป้องและคุ้มครองจากการตกไปสู่ความชั่ว ความไม่ดี หรือความลุ่มหลงในกิเลสทั้งหลาย จิตในสภาวะนี้เป็นจิตที่ตั้งมั่น มีสติปัญญากำกับ และไม่ถูกกิเลสหรือความอยากต่าง ๆ ควบคุม ซึ่งเป็นผลมาจากการฝึกฝนจิตให้มีความสงบและมีสติรู้เท่าทันตนเอง
การ “มีจิตคุ้มครอง” สามารถอธิบายได้ในหลายแง่มุม ดังนี้
- จิตที่มั่นคงในศีลธรรม: บุคคลผู้มีจิตคุ้มครองแล้วจะมีจิตใจที่ตั้งมั่นอยู่ในคุณธรรม ศีลธรรม และปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า การมีศีลเป็นพื้นฐานจะช่วยคุ้มครองจิตจากการกระทำผิดศีล ทำให้จิตใจไม่สับสนวุ่นวาย หรือถูกกิเลสเข้ามาครอบงำได้ง่าย
- จิตที่มีสติและสมาธิ: การมีสติอยู่กับปัจจุบันขณะจะช่วยป้องกันจิตจากการตกไปในความฟุ้งซ่าน การมีสมาธิทำให้จิตสงบแน่วแน่ ไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์หรือความรู้สึกต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น การฝึกสติและสมาธิจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยคุ้มครองจิตให้ไม่ถูกครอบงำด้วยกิเลส
- จิตที่มีปัญญารู้เท่าทัน: เมื่อจิตได้รับการคุ้มครองแล้ว ปัญญาจะเกิดขึ้น ทำให้สามารถเห็นและเข้าใจตามความเป็นจริง ไม่ถูกความหลง (อวิชชา) ครอบงำ การมีปัญญาทำให้จิตรู้เท่าทันกิเลสและความอยากทั้งหลาย จึงไม่ถูกชักนำไปทางที่ผิดพลาดหรือเกิดทุกข์ได้
- จิตที่พ้นจากการครอบงำของกิเลส: เมื่อจิตได้รับการคุ้มครองและฝึกฝนจนสามารถควบคุมกิเลสได้ จะทำให้จิตใจปลอดภัยจากความทุกข์ที่เกิดจากราคะ โทสะ และอวิชชา จิตจะบริสุทธิ์และสงบเย็น ไม่ถูกยั่วยุจากสิ่งรบกวนภายนอก
ดังนั้น การ “มีจิตคุ้มครองแล้ว” จึงหมายถึงการที่จิตได้รับการป้องกันด้วยคุณธรรม ศีล สมาธิ และปัญญา จิตใจจึงไม่หวั่นไหว ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส และสามารถดำรงอยู่ในสภาวะที่สงบเย็น ปราศจากทุกข์
คำว่า “อาสวะ” หมายถึง กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิตใจของมนุษย์ เป็นสิ่งที่คอยแฝงเร้นอยู่ลึก ๆ และเป็นเหตุที่ทำให้เกิดความหลงผิดและความทุกข์ “อาสวะ” เปรียบเสมือนน้ำหมักหมมที่หมักดองไว้ในใจ ทำให้มนุษย์ยังคงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ไม่สามารถหลุดพ้นจากทุกข์ได้
อาสวะเป็นกิเลสที่ละเอียดลึกซึ้งกว่ากิเลสประเภทอื่น ๆ เพราะเป็นกิเลสที่ยังไม่ปรากฏชัดเจนในรูปแบบของความคิดหรืออารมณ์ แต่มีอิทธิพลต่อการกระทำและความรู้สึกของมนุษย์ โดยที่บุคคลอาจไม่รู้ตัว
อาสวะมีอยู่ 4 ประเภทหลัก ดังนี้
- กามาสวะ (อาสวะคือกาม): ความหลงใหลและยึดติดในกามคุณ 5 (รูป, เสียง, กลิ่น, รส, โผฏฐัพพะ) ความปรารถนาในสิ่งที่น่าพึงพอใจทางประสาทสัมผัส ทำให้มนุษย์หลงไหลอยู่ในความสุขชั่วคราวและไม่สามารถหลุดพ้นจากการเกิดแก่เจ็บตายได้
- ภวาสวะ (อาสวะคือภพ): ความยึดติดในความมีตัวตน ความต้องการเกิดหรือมีภพใหม่ ซึ่งหมายถึงความปรารถนาในการมีชีวิตและการคงอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะในภพนี้หรือภพหน้า
- ทิฏฐาสวะ (อาสวะคือทิฏฐิ): ความยึดมั่นในทิฏฐิหรือความเห็นผิด ความยึดถือในความคิดหรือความเชื่อที่ผิดเพี้ยน ไม่ตรงตามหลักธรรม เช่น การเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ เป็นของเที่ยงแท้ยั่งยืน
- อวิชชาสวะ (อาสวะคืออวิชชา): ความไม่รู้หรือความหลงในอริยสัจ 4 (ทุกข์, สมุทัย, นิโรธ, มรรค) อวิชชาเป็นรากเหง้าของกิเลสทั้งหมด เพราะทำให้เราไม่รู้จักธรรมชาติที่แท้จริงของชีวิตและยึดติดอยู่ในโลกของกิเลสและตัณหา
การทำลาย อาสวะ คือกระบวนการฝึกฝนจิตใจให้บริสุทธิ์และหลุดพ้นจากการครอบงำของกิเลสเหล่านี้ ซึ่งเป็นกระบวนการที่บุคคลต้องพัฒนาสติ สมาธิ และปัญญา เพื่อให้จิตใจเข้าถึงความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
คำว่า “อกุปปธรรม” หมายถึง พระนิพพาน ซึ่งเป็นสภาวะที่ไม่สามารถถูกกระทบหรือเปลี่ยนแปลงได้ด้วยสิ่งใด ๆ คำว่า “อกุปป” มาจากภาษาบาลี โดยคำว่า “อ” แปลว่า “ไม่” และ “กุปป” แปลว่า “สั่นไหว” หรือ “ถูกกระทบ” ดังนั้น “อกุปปธรรม” จึงหมายถึง “ธรรมที่ไม่สั่นไหว” หรือ “ธรรมที่ไม่ถูกกระทบ” ซึ่งใช้เรียกถึง พระนิพพาน อันเป็นสภาวะที่ปราศจากความเปลี่ยนแปลงทั้งปวง
ในแง่ของพระพุทธศาสนา พระนิพพานหรืออกุปปธรรมหมายถึงสภาวะที่หลุดพ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิง ไม่มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ หรือดับไป เป็นสภาวะที่ไม่ขึ้นกับเงื่อนไขของโลกและกิเลสทั้งปวง ซึ่งมีลักษณะสำคัญดังนี้
- ปราศจากการเกิดและดับ: พระนิพพานเป็นสภาวะที่หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ไม่มีการเกิด ไม่มีการแก่ ไม่มีการเจ็บป่วยหรือการตาย ไม่ต้องประสบกับความทุกข์ทั้งหลายอีกต่อไป
- ไม่ถูกกระทบด้วยกิเลส: ในพระนิพพาน ไม่มีราคะ (ความอยาก) โทสะ (ความโกรธ) หรืออวิชชา (ความหลง) มากระทบหรือทำให้จิตใจหวั่นไหว จิตจึงบริสุทธิ์และคงที่ ไม่ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของกิเลสหรือความต้องการใด ๆ
- สภาวะที่เป็นอมตะ: พระนิพพานเป็นสิ่งที่ไม่มีการเสื่อมสลาย ไม่ถูกครอบงำด้วยกาลเวลา หรือปัจจัยใด ๆ ที่เกิดขึ้นในโลก จึงเรียกว่าเป็นสภาวะที่ “อมตะ” (ไม่ตาย)
- สภาวะที่พ้นจากทุกข์: พระนิพพานเป็นสภาวะที่พ้นจากทุกข์ทั้งปวง ซึ่งเป็นผลจากการทำลายตัณหา (ความอยาก) และอวิชชา จิตที่เข้าสู่พระนิพพานจะไม่มีความทุกข์ ไม่มีความยึดติดใด ๆ อีกต่อไป
บุคคลผู้มี จิตคุ้มครองแล้ว คือผู้ที่ได้พัฒนาจิตใจให้มีสติ สมาธิ และปัญญา มีความมั่นคงในศีลธรรม และไม่ถูกครอบงำด้วยกิเลสต่าง ๆ เมื่อบุคคลเช่นนี้ได้ฟัง คำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งประกอบด้วยอริยสัจ 4 (ทุกข์, สมุทัย, นิโรธ, มรรค) และนำไปปฏิบัติด้วยความตั้งใจจริง จิตใจของเขาย่อมได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และหลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง
เมื่อบุคคลมี จิตคุ้มครอง และฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว น้อมนำไปปฏิบัติตาม อย่างเคร่งครัด การปฏิบัตินี้จะช่วยขัดเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์มากขึ้นเรื่อย ๆ อาสวะซึ่งเป็นกิเลสที่แฝงเร้นอยู่ในจิตใจจะถูกทำลายไปในที่สุด การทำลายอาสวะทั้งปวงเป็นการขจัดเหตุแห่งการเกิดทุกข์ ทำให้บุคคลสามารถเข้าถึง อกุปปธรรม ซึ่งหมายถึง พระนิพพาน สภาวะที่ไม่หวั่นไหวหรือถูกกระทบด้วยสิ่งใด เป็นสภาวะที่บริสุทธิ์ ไม่เสื่อมสลาย และปราศจากการเกิดดับ
การเข้าถึงพระนิพพานทำให้บุคคลนั้นไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอีกต่อไป เพราะได้ทำลายตัณหา (ความอยาก) อวิชชา (ความหลง) และกิเลสทั้งปวงที่เป็นเหตุให้ต้องเกิดใหม่ เมื่ออาสวะหมดไป บุคคลนั้นย่อมเข้าถึงสภาวะอันสงบเย็นและบริสุทธิ์ เป็นการพ้นจากทุกข์อย่างสิ้นเชิง.