ผู้ใดไม่มีความอาลัย รู้แล้ว หาความสงสัยมิได้ เราเรียกผู้หยั่งลงสู่อมตะ บรรลุประโยชน์แล้วนั้น ว่าเป็นพราหมณ์

ยสฺสาลยา น วิชฺชนฺติ

ยสฺสาลยา น วิชฺชนฺติ     อญฺญาย อกถงฺกถี
อมโตคธํ อนุปฺปตฺตํ     ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ.

[คำอ่าน]

ยัด-สา-ละ-ยา, นะ, วิด-ชัน-ติ     อัน-ยา-ยะ, อะ-กะ-ถัง-กะ-ถี
อะ-มะ-โต-คะ-ทัง, อะ-นุบ-ปัด-ตัง     ตะ-มะ-หัง, พรู-มิ, พราม-มะ-นัง

[คำแปล]

“ผู้ใดไม่มีความอาลัย รู้แล้ว หาความสงสัยมิได้ เราเรียกผู้หยั่งลงสู่อมตะ บรรลุประโยชน์แล้วนั้น ว่าเป็นพราหมณ์.”

(พุทฺธ) ขุ.ธ. 25/70.

คำว่า “อาลัย” ในสุภาษิตนี้ หมายถึง ตัณหา บุคคลผู้ที่สามารถละตัณหาได้หมดสิ้น นับได้ว่าเป็นผู้ที่อยู่เหนือความโลภ โกรธ หลง ทั้งปวง ตัณหานี้เป็นสิ่งที่ผูกพันจิตใจของปุถุชนทั่วไปให้อยู่ในวังวนแห่งทุกข์ การดับตัณหาจึงเป็นหนทางที่นำไปสู่การพ้นทุกข์ และหากบุคคลใดสามารถดับตัณหาได้อย่างสมบูรณ์ บุคคลนั้นจะสามารถทำลายอวิชชา หรือความไม่รู้ ได้อย่างหมดสิ้น เมื่อไม่มีความไม่รู้คอยครอบงำจิตใจ เขาย่อมสามารถเข้าถึงสภาวะของพระนิพพานซึ่งเป็นธรรมอันเป็นอมตะ ไม่มีการเกิด ไม่มีการดับ ไม่มีการเวียนว่ายในวัฏสงสารอีกต่อไป

พระนิพพานนั้นเป็นสภาวะที่อยู่เหนือกฎแห่งธรรมชาติทั้งหมด เป็นภาวะที่ปลอดจากความทุกข์ทั้งปวง เมื่อบุคคลได้เข้าถึงพระนิพพาน จิตใจย่อมสงบเย็น เป็นอิสระจากพันธนาการของกิเลสและตัณหา และย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่มีบาป เพราะได้ทำลายรากฐานของบาปทั้งมวล ซึ่งเกิดขึ้นจากความหลง ความอยาก และการยึดติดในตัวตน การเข้าถึงพระนิพพานจึงถือเป็นการบรรลุสู่ความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง

การละตัณหาและการทำลายอวิชชาให้หมดสิ้น ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมและแนวทางปฏิบัติเพื่อช่วยให้บุคคลสามารถละทิ้งสิ่งเหล่านี้ได้ สิ่งสำคัญคือการพัฒนาปัญญาและการมีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา เมื่อจิตมีปัญญาและมีสติคอยกำกับ ตัณหาย่อมไม่สามารถครอบงำจิตได้อีกต่อไป เมื่อบุคคลเข้าใจถึงสภาวะของสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ว่าล้วนไม่เที่ยง ล้วนต้องเสื่อมไปและแตกดับตามกาลเวลา เขาย่อมไม่ตกอยู่ในอำนาจของตัณหาที่คอยผลักดันให้เกิดการเวียนว่ายในวัฏสงสาร

ผู้ที่ไม่มีตัณหาย่อมไม่ต้องแบกรับความทุกข์ที่เกิดจากความอยากได้ อยากมี อยากเป็น สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเครื่องมือที่กิเลสใช้ในการทำให้จิตเกิดการยึดติดในโลกแห่งสมมุติ เมื่อบุคคลไม่มีตัณหา จิตย่อมเป็นอิสระจากความทุกข์ที่เกิดจากความต้องการต่าง ๆ ทำให้จิตสงบเย็น ปราศจากบาปและอกุศล

บุคคลที่สามารถทำลายอวิชชาได้ ย่อมเป็นผู้มีปัญญาอย่างสูง เพราะเขาได้เห็นธรรมตามความเป็นจริง และไม่ตกอยู่ในความหลงอันเกิดจากการเห็นผิดหรือความเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวตนและสรรพสิ่งรอบตัว ปัญญานี้จะทำให้เขาสามารถละทิ้งความยึดติดทั้งหมด ซึ่งเป็นการทำลายรากฐานของบาปและอกุศลไปในตัว

ดังนั้น ผู้ที่เข้าถึงพระนิพพานจึงได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้ไม่มีบาป เพราะเขาได้ทำลายสิ่งที่เป็นรากเหง้าของบาปทั้งปวง ความบริสุทธิ์ที่เกิดจากการละทิ้งตัณหาและอวิชชา เป็นความบริสุทธิ์ที่แท้จริง ทำให้บุคคลนั้นได้สัมผัสถึงสภาวะของความสุขสงบอย่างแท้จริง อันเป็นสภาวะที่ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอีกต่อไป.