ผู้ใด ระมัดระวังอินทรีย์เหล่านั้น รู้จักอินทรีย์ ๖ ตั้งอยู่ในธรรม ยินดีในความซื่อตรง และความอ่อนโยน ล่วงกิเลสเครื่องข้องเสียได้ ฯลฯ

โย เตสุ คุตฺโต วิทิตินฺทฺริโย จเร

โย เตสุ คุตฺโต วิทิตินฺทฺริโย จเร
ธมฺเม ฐิโต อชฺชวมทฺทเว รโต
สงฺคาติโค สพฺพทุกฺขปฺปหีโน
น ลิมฺปติ ทิฏฺฐสุเตสุ ธีโร.

[คำอ่าน]

โย, เต-สุ, คุด-โต, วิ-ทิ-ติน-ทริ-โย, จะ-เร
ทำ-เม, ถิ-โต, อัด-ชะ-วะ-มัด-ทะ-เว, ระ-โต
สัง-คา-ติ-โค, สับ-พะ-ทุก-ขัป-ปะ-หี-โน
นะ, ลิม-ปะ-ติ, ทิด-ถะ-สุ-เต-สุ, ที-โร

[คำแปล]

“ผู้ใด ระมัดระวังอินทรีย์เหล่านั้น รู้จักอินทรีย์ ๖ ตั้งอยู่ในธรรม ยินดีในความซื่อตรง และความอ่อนโยน ล่วงกิเลสเครื่องข้องเสียได้ ละทุกข์ได้ทั้งหมด เที่ยวไป ผู้นั้นเป็นธีรชน ย่อมไม่ติดในสิ่งที่เห็นแล้วและได้ฟังแล้ว.”

(พุทฺธ) ขุ.สุ. 25/374.

คำว่า “ระมัดระวังอินทรีย์” หมายถึง การควบคุมและรักษาอายตนะทั้ง 6 หรือ อินทรีย์ (ซึ่งหมายถึง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ) ไม่ให้ไหลไปตามอารมณ์หรือสิ่งเร้าที่เข้ามากระทบ ทำให้ไม่หลงไปในกิเลสหรือความยั่วยวนที่อาจก่อให้เกิดทุกข์และความไม่สงบในจิตใจ

อินทรีย์ ในที่นี้เป็นส่วนที่ใช้รับรู้อารมณ์ภายนอก เช่น

  • ตา รับรู้รูป
  • หู รับรู้เสียง
  • จมูก รับรู้กลิ่น
  • ลิ้น รับรู้รส
  • กาย รับรู้สัมผัส
  • ใจ รับรู้อารมณ์และความคิด

การสำรวมอินทรีย์คือการที่เรามีสติรู้เท่าทันในทุกการรับรู้ ไม่ปล่อยให้อายตนะเหล่านี้นำพาไปในทางที่ผิดหรือนำไปสู่ความทุกข์ เช่น เมื่อเห็นสิ่งที่สวยงาม ก็ไม่ปล่อยให้เกิดความหลงไหล เมื่อได้ยินสิ่งที่ไม่น่าฟัง ก็ไม่เกิดความโกรธเกลียด

จุดประสงค์ของการสำรวมอินทรีย์คือการสร้างความสงบในจิตใจ ลดทอนกิเลส และพัฒนาจิตให้มีความตั้งมั่น ไม่ถูกครอบงำด้วยอารมณ์หรือสิ่งเร้าภายนอก ทำให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในทางสายกลาง และนำไปสู่ความหลุดพ้น

คำว่า “ตั้งอยู่ในธรรม” หมายถึง การดำรงชีวิตหรือปฏิบัติตนอยู่ในแนวทางที่สอดคล้องกับธรรมะ หรือกฎเกณฑ์ของธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ซึ่งหมายถึงการยึดถือและปฏิบัติตามหลักความถูกต้อง คุณธรรม และสัจธรรมที่นำไปสู่การดับทุกข์และการหลุดพ้นจากวัฏสงสาร

“ธรรม” ในที่นี้ หมายถึงความจริงตามธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ค้นพบและทรงสอนเพื่อให้เราเข้าใจและปฏิบัติตาม ได้แก่

  • อริยสัจ 4 (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) ซึ่งเป็นความจริงของชีวิตที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ และเป็นแนวทางสู่การดับทุกข์
  • ไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) คือความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และความไม่ใช่ตัวตน
  • อริยมรรคมีองค์ 8 คือข้อปฏิบัติที่นำไปสู่ความหลุดพ้น ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ), สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ), สัมมาวาจา (การพูดชอบ), สัมมากัมมันตะ (การกระทำชอบ), สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีพชอบ), สัมมาวายามะ (ความเพียรชอบ), สัมมาสติ (การตั้งสติชอบ), และสัมมาสมาธิ (การตั้งจิตมั่นชอบ)

“ตั้งอยู่ในธรรม” จึงหมายถึงการใช้ชีวิตโดยยึดหลักความจริงและคุณธรรมเหล่านี้เป็นแนวทาง ควบคุมความคิด คำพูด และการกระทำให้อยู่ในกรอบของธรรมะ และไม่ยึดติดในสิ่งที่เป็นกิเลสหรือนำไปสู่ทุกข์

ผู้ที่ตั้งอยู่ในธรรมจะมีความสงบสุขทั้งกายและใจ รู้จักปล่อยวางจากสิ่งที่ไม่เที่ยง และเข้าใจในสัจธรรมของชีวิต

“ความซื่อตรง” หมายถึง ความประพฤติและการกระทำที่ยึดมั่นในความจริงและความถูกต้อง ไม่โกหก หลอกลวง หรือทำสิ่งที่เป็นการเบี่ยงเบนจากความถูกต้องและความยุติธรรม นอกจากนี้ยังรวมถึงการมีความซื่อสัตย์ต่อผู้อื่นและตัวเอง มีความรับผิดชอบต่อคำพูดและการกระทำของตนเอง

ความซื่อตรงเป็นหนึ่งในคุณธรรมที่สำคัญ ซึ่งมักเชื่อมโยงกับความซื่อสัตย์ การมีความซื่อตรงหมายถึงการปฏิบัติตนด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ ไม่หลอกลวง หรือแสวงหาผลประโยชน์จากการทำผิด อีกทั้งยังหมายถึงการรักษาสัจจะหรือคำมั่นสัญญาอย่างจริงใจ

คุณสมบัติของความซื่อตรง ได้แก่

  • ไม่ปิดบัง: ไม่ปิดบังความจริง ไม่ทำสิ่งที่ไม่โปร่งใส
  • ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่: ปฏิบัติตามหน้าที่และความรับผิดชอบด้วยความจริงใจ
  • มีเจตนาที่บริสุทธิ์: ทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยความปรารถนาดี ไม่หวังผลประโยชน์ที่ไม่ชอบธรรม
  • รักษาสัจจะ: เคารพคำพูด คำสัญญา และยึดมั่นในความถูกต้องตามที่ตนได้กล่าวไว้

ความซื่อตรงเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการสร้างความเชื่อถือ ความเคารพ และความไว้วางใจในสังคม ไม่ว่าจะเป็นในความสัมพันธ์ส่วนตัวหรือในบริบทการทำงาน

“ความอ่อนโยน” หมายถึง การแสดงออกของความเมตตา ความอ่อนน้อม และความสุภาพอ่อนโยนทั้งในความคิด คำพูด และการกระทำ เป็นคุณธรรมที่ทำให้บุคคลมีท่าทีที่ไม่แข็งกระด้างหรือก้าวร้าว มีความเอาใจใส่ต่อผู้อื่น และสามารถแสดงความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจในความรู้สึกและสภาพของผู้อื่นได้

คุณลักษณะของความอ่อนโยน ได้แก่

  • ความสุภาพ: ใช้คำพูดและการกระทำที่แสดงถึงความเคารพและให้เกียรติต่อผู้อื่น ไม่หยาบคายหรือล่วงเกิน
  • ความเมตตา: แสดงออกถึงความปรารถนาดีและพร้อมช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความจริงใจ
  • ความอ่อนน้อมถ่อมตน: ไม่โอ้อวดหรือวางอำนาจเหนือผู้อื่น ยอมรับความเห็นต่างและเข้าใจความรู้สึกของคนรอบข้าง
  • การอดทนและยืดหยุ่น: พร้อมที่จะอดทนและยืดหยุ่นในการเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ หรือเมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้น โดยไม่ตอบโต้ด้วยความรุนแรงหรือก้าวร้าว

“กิเลสเครื่องข้อง” หมายถึง กิเลสหรือสิ่งที่ทำให้จิตใจติดข้อง หมกมุ่น และไม่เป็นอิสระจากความทุกข์ ความเศร้าหมอง หรือความยึดติดในสิ่งต่าง ๆ ในทางพุทธศาสนา กิเลสถือเป็นอุปสรรคที่กีดขวางจิตใจจากการเข้าถึงความสงบและการหลุดพ้นจากวัฏสงสาร

กิเลสเครื่องข้อง เป็นสิ่งที่ครอบงำจิตใจ ทำให้เราติดอยู่กับความต้องการที่ไม่รู้จบ เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง และกิเลสอื่น ๆ ที่ก่อให้เกิดความไม่สงบสุข การปล่อยให้จิตใจถูกครอบงำด้วยกิเลสเหล่านี้ทำให้เกิดความทุกข์ เพราะไม่สามารถหลุดพ้นจากการยึดมั่นในสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน

ตัวอย่างของกิเลสเครื่องข้องได้แก่:

  • โลภะ (ความโลภ): ความอยากได้ อยากครอบครองในสิ่งที่ไม่จำเป็น และการยึดติดกับความต้องการต่าง ๆ
  • โทสะ (ความโกรธ): ความไม่พอใจ โกรธเกลียด และความประสงค์ร้ายต่อผู้อื่น
  • โมหะ (ความหลง): ความไม่รู้เท่าทันในธรรมชาติของสรรพสิ่ง เช่น ไม่เข้าใจความไม่เที่ยง หรือความเป็นทุกข์ของชีวิต

กิเลสเครื่องข้อง ทำให้มนุษย์วนเวียนอยู่ในความทุกข์และความไม่พอใจ เพราะความยึดติดและความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุด การลดและละกิเลสเครื่องข้องเหล่านี้จึงเป็นหนทางหนึ่งในการปลดปล่อยจิตใจให้เป็นอิสระจากทุกข์ และนำไปสู่ความสงบสุขในจิตใจ

บุคคลผู้ระมัดระวังอินทรีย์ ดำรงมั่นในหลักธรรม มีความซื่อตรงและอ่อนโยน ปฏิบัติเพื่อทำลายกิเลสเครื่องข้องทั้งหมดได้ ย่อมไม่ยึดติดในสิ่งทั้งปวง สามารถล่วงทุกข์ในวัฏสงสารได้.