ผู้ใดพิจารณาเห็นความยิ่งและหย่อนในโลกแล้ว ไม่มีความหวั่นไหวในอารมณ์ไหน ๆ ในโลก เรากล่าวว่า ผู้นั้นเป็นผู้สงบ ฯลฯ
สงฺขาย โลกสฺมิ ปโรปรานิ
ยสฺสิญฺชิตํ นตฺถิ กุหิญฺจิ โลเก
สนฺโต วิธูโม อนีโฆ นิราโส
อตาริ โส ชาติชรนฺติ พฺรูมิ.
[คำอ่าน]
สัง-ขา-ยะ, โล-กัด-สะ-มิ, ปะ-โร-ปะ-รา-นิ
ยัด-สิน-ชิ-ตัง, นัด-ถิ, กุ-หิน-จะ, โล-เก
สัน-โต, วิ-ทู-โม, อะ-นี-โค, นิ-รา-โส
อะ-ตา-ริ, โส, ชา-ติ-ชะ-รัน-ติ, พรู-มิ
[คำแปล]
“ผู้ใดพิจารณาเห็นความยิ่งและหย่อนในโลกแล้ว ไม่มีความหวั่นไหวในอารมณ์ไหน ๆ ในโลก เรากล่าวว่า ผู้นั้นเป็นผู้สงบ ไม่มีกิเลสดุจควันไฟ ไม่มีทุกข์ ปราศจากตัณหา ข้ามชาติชราได้.”
(พุทฺธ) องฺ.ติก. 20/169.
คำว่า “ความยิ่งและหย่อน” ในสุภาษิตนี้ หมายถึง โลกธรรม 8 ประการ ซึ่งเป็นสภาวะที่เป็นธรรมดาของโลก ที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แบ่งออกเป็น 4 คู่ รวมเป็น 8 ประการ คือ
ลาภ – เสื่อมลาภ
- ลาภ หมายถึง การได้รับสิ่งที่พึงปรารถนา เช่น ทรัพย์สิน ความสำเร็จ ฯลฯ
- เสื่อมลาภ หมายถึง การสูญเสียสิ่งที่มีหรือไม่ได้รับในสิ่งที่ปรารถนา
ยศ – เสื่อมยศ
- ยศ หมายถึง การได้รับเกียรติ การยอมรับ ความเป็นที่นับถือ
- เสื่อมยศ หมายถึง การสูญเสียเกียรติ การไม่เป็นที่ยอมรับ หรือถูกลดฐานะ
สรรเสริญ – นินทา
- สรรเสริญ หมายถึง คำยกย่อง ชมเชย
- นินทา หมายถึง การถูกว่าร้าย วิจารณ์ หรือพูดลับหลังในทางที่ไม่ดี
สุข – ทุกข์
- สุข หมายถึง ความสุขสบายทางกายหรือทางใจ
- ทุกข์ หมายถึง ความทุกข์กายหรือใจ อันเกิดจากปัญหาหรือความไม่พึงพอใจ
คำว่า “ความยิ่งและหย่อน” หมายถึงสภาวะที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา บางครั้งเราจะประสบกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่ (ความเจริญ) หรือสิ่งที่ด้อยลง (ความเสื่อม) ในด้านต่าง ๆ เหล่านี้ โลกธรรมทั้ง 8 จึงสอนให้เรามองเห็นความไม่เที่ยงของสิ่งต่าง ๆ และมีจิตใจที่มั่นคง ไม่หวั่นไหวไปกับสภาวะเหล่านี้
บุคคลที่ไม่มีความหวั่นไหวในโลกธรรม 8 ประการ คือผู้ที่มีจิตใจสงบ ไม่ถูกรบกวนหรือหวั่นไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของชีวิต ไม่ว่าจะเป็น ลาภ หรือ เสื่อมลาภ, ยศ หรือ เสื่อมยศ, สรรเสริญ หรือ นินทา, สุข หรือ ทุกข์ บุคคลเช่นนี้เป็นผู้ที่
สงบจากกิเลส ไม่ถูกครอบงำด้วยความโลภ โกรธ หลง จิตใจเป็นอิสระจากกิเลสต่าง ๆ ไม่ต้องการหรือยึดติดในสิ่งใด จึงไม่มีความทุกข์เพราะไม่ถูกกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในโลก
ปราศจากทุกข์ เมื่อไม่มีความยึดติดหรือไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรม ก็จะไม่มีความทุกข์ที่เกิดจากการสูญเสียหรือการไม่ได้สิ่งที่ต้องการ รวมถึงไม่ทุกข์เมื่อได้รับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา
ปราศจากตัณหา บุคคลนี้ได้ขจัด ตัณหา หรือความปรารถนาในสิ่งต่าง ๆ ซึ่งเป็นต้นเหตุของทุกข์ เมื่อปราศจากตัณหา จิตใจก็เป็นอิสระจากการพึ่งพิงสิ่งภายนอกเพื่อสร้างความสุข
ข้ามพ้นวัฏสงสาร บุคคลที่ไม่มีความหวั่นไหวในโลกธรรมเป็นผู้ที่เข้าใจและตระหนักถึงความไม่เที่ยงของสิ่งต่าง ๆ ทั้งหมดในโลก ไม่มีการยึดมั่นในสุขหรือทุกข์ ในสิ่งที่ได้หรือเสีย สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นและดับไป จิตของเขาจึงไม่ถูกดึงเข้าสู่วัฏสงสารซึ่งเป็นการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อจิตไม่หลงวนในโลกธรรม จิตนั้นก็หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด และบรรลุถึง นิพพาน
บุคคลในลักษณะนี้คือ พระอรหันต์ หรือ ผู้พ้นจากกิเลสทั้งปวง ผู้ที่ได้ละตัณหา กิเลส และอวิชชา (ความไม่รู้) จนหมดสิ้น จึงไม่หวั่นไหวต่อความเปลี่ยนแปลงในชีวิต และอยู่ในสภาวะที่สงบสุขแท้จริง.