บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้ผลดี ฯลฯ

ยาทิสํ วปเต พีชํ     ตาทิสํ ลภเต ผลํ
กลฺยาณการี กลฺยาณํ     ปาปการี จ ปาปกํ.

[คำอ่าน]

ยา-ทิ-สัง, วะ-ปะ-เต, พี-ชัง…..ตา-ทิ-สัง, ละ-พะ-เต, ผะ-ลัง
กัน-ละ-ยา-นะ-กา-รี, กัน-ละ-ยา-นัง…..ปา-ปะ-กา-รี, จะ, ปา-ปะ-กัง

[คำแปล]

“บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้ผลชั่ว.”

(พุทฺธ) สํ.ส. 15/333.

กรรมคือการกระทำทั้งหลาย ย่อมเปรียบได้กับการปลูกพืช ผู้หว่านข้าวลงในนา ย่อมได้รับผลผลิตเป็นข้าว สามารถนำมาบริโภคและขายได้ ผู้ปลูกมะม่วงไว้ในสวน ย่อมได้รับผลผลิตเป็นมะม่วง สามารถนำมาบริโภคและขายได้ หรือผู้ที่ปลูกพืชนิดอื่น ๆ เมื่อถึงเวลา ย่อมสามารถนำผลผลิตของพืชชนิดนั้น ๆ มาสร้างประโยชน์ได้

กรรมก็เช่นกัน ไม่ว่าผู้ใดทำกรรมเช่นใดไว้ เมื่อถึงเวลาที่กรรมเหล่านั้นมีโอกาสให้ผล ผู้ที่เป็นเจ้าของแห่งกรรม ย่อมต้องได้รับผลของกรรมนั้น เพราะสัตว์โลกทั้งปวง เป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง เป็นทายาทคือผู้รับผลแห่งกรรม ทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่วก็ตาม จะต้องได้รับผลของกรรมนั้นอย่างแน่นอน

ผู้ที่ทำกรรมชั่วอันเป็นฝ่ายแห่งทุจริต คือ กายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริต เมื่อกรรมเหล่านั้นได้โอกาสให้ผล เขาย่อมได้รับผลอันเป็นทุกข์เป็นโทษ ลิดรอนประโยชน์ให้หมดไป สร้างความฉิบหายให้เกิดขึ้น เขาย่อมได้รับความเดือดร้อนอันพอเหมาะพอดีแก่กรรมชั่วที่ตนกระทำ ไม่มากหรือน้อยไปกว่านั้น เรียกว่า ได้รับผลอันเสมอด้วยกรรม

ผู้ที่ทำกรรมดี อันเป็นฝ่ายแห่งสุจริต คือ กายสุจริต วจีสุจริต และมโนสุจริต เมื่อกรรมเหล่านั้นได้โอกาสให้ผล เขาย่อมได้รับผลอันเป็นคุณ เกื้อหนุนความเป็นไปแห่งชีวิต บรรเทาเรื่องร้าย ๆ ให้กลายเป็นดี ส่งเสริมสิ่งที่ดีให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป พอเหมาะพอดีกับกรรมดีที่ได้เคยสร้างไว้นั้น

จะเห็นได้ว่า กฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ คือบุคคลทำกรรมใด ๆ ย่อมจะได้รับผลแห่งกรรมนั้นอย่างพอดีแก่กรรมเสมอ ไม่มีบิดพลิ้ว ไม่มีบิดเบือนไปจากกรรมที่ทำไว้จริง

ดังนั้น เราท่านทั้งหลาย อย่าปล่อยใจไปตามกิเลสอันเป็นเหตุชักนำให้หลงทำกรรมชั่วเลย พึงฝึกใจให้เข้มแข็ง ต้านทานแรงแห่งกิเลสให้ได้ หมั่นขัดเกลาจิตใจให้ใสสะอาดปราศจากมลทิน ยินดีแต่ในการสร้างกรรมดีเถิด จะได้รับผลอันประเสริฐอย่างแน่นอน.