ภิกษุผู้เห็นโทษในกาม มีความประพฤติประเสริฐ ปราศจากตัณหา มีสติทุกเมื่อ พิจารณาแล้ว ดับกิเลสแล้ว ย่อมไม่มีความหวั่นไหว

กาเมสุ พฺรหฺมจริยวา วีตตณฺโห สทา สโต สงฺขาย นิพฺพุโต ภิกฺขุ ตสฺส โน สนฺติ อิญฺชิตา

กาเมสุ พฺรหฺมจริยวา     วีตตณฺโห สทา สโต
สงฺขาย นิพฺพุโต ภิกฺขุ     ตสฺส โน สนฺติ อิญฺชิตา.

[คำอ่าน]

กา-เม-สุ, พรำ-มะ-จะ-ริ-ยะ-วา…..วี-ตะ-ตัน-โห, สะ-ทา, สะ-โต
สัง-ขา-ยะ, นิบ-พุ-โต, พิก-ขุ…..ตัด-สะ, โน, สัน-ติ, อิน-ชิ-ตา

[คำแปล]

“ภิกษุผู้เห็นโทษในกาม มีความประพฤติประเสริฐ ปราศจากตัณหา มีสติทุกเมื่อ พิจารณาแล้ว ดับกิเลสแล้ว ย่อมไม่มีความหวั่นไหว.”

(พุทฺธ) ขุ.สุ. 25/531, ขุ.จู. 30/35.

กิเลสตัณหา เป็นสิ่งที่ทำให้จิตของสรรพสัตว์ลุ่มหลงหมกมุ่นมัวเมา หลงยึดติดอยู่ในสิ่งลวงโลกทั้งหลาย มีปัญญามืดบอด ไม่สามารถพิจารณาสรรพสิ่งให้เห็นตามความเป็นจริงได้ หลงเข้าใจผิดว่าสิ่งทั้งปวงเป็นสิ่งที่สวยงาม เที่ยงแท้แน่นอน สามารถสร้างความสุขให้ตนได้ ทำให้จิตของสรรพสัตว์หวั่นไหวในอารมณ์ต่าง ๆ ทั้งที่เป็นอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์

ส่วนภิกษุผู้เห็นโทษในกาม คือมองออกอย่างชัดเจนว่ากามทั้งหลายมันเป็นทุกข์ เป็นสาเหตุให้เกิดทุกข์ เป็นสุขจอมปลอม แต่เป็นทุกข์ที่แท้จริง เป็นสาเหตุให้สรรพสัตว์ต้องเวียนว่ายตายเกิดและประสบทุกข์สิ้นกาลนาน

เมื่อพิจารณาได้ดังนี้แล้ว ก็ประพฤติธรรมตามวิถีแห่งอริยมรรคมีองค์แปด ชื่อว่าเป็นผู้มีความประพฤติประเสริฐ เมื่อท่านมีสติอยู่ทุกเมื่อ หมั่นปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานด้วยความเพียรอันแรงกล้าและศรัทธาที่ตั้งมั่น ย่อมสามารถขจัดกิเลสตัณหาออกจากจิตใจได้ทีละน้อยและหมดไปในที่สุด เมื่อนั้น ท่านดับกิเลสได้แล้ว ย่อมไม่มีความหวั่นไหวต่ออิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์อีกต่อไป.