พึงขจัดตัณหาที่เป็นเหตุถือมั่นทั้งปวง ทั้งเบื้องสูง เบื้องต่ำ เบื้องขวาง ท่ามกลาง เพราะเขาถือมั่นสิ่งใด ๆ ในโลกไว้ มารย่อมติดตามเขาไปเพราะสิ่งนั้น ๆ

อาทานตณฺหํ วินเยถ สพฺพํ อุทฺธํ อโธ ติริยํ วาปิ มชฺเฌ ยํ ยํ หิ โลกสฺมึ อุปาทิยนฺติ เตเนว มาโร อนฺเวติ ชนฺตุํ

อาทานตณฺหํ วินเยถ สพฺพํ
อุทฺธํ อโธ ติริยํ วาปิ มชฺเฌ
ยํ ยํ หิ โลกสฺมึ อุปาทิยนฺติ
เตเนว มาโร อนฺเวติ ชนฺตุํ.

[คำอ่าน]

อา-ทา-นะ-ตัน-หัง, วิ-นะ-เย-ถะ, สับ-พัง
อุด-ทัง, อะ-โท, ติ-ริ-ยัง, วา-ปิ, มัด-เช
ยัง, ยัง, หิ, โล-กัด-สะ-หมิง, อุ-ปา-ทิ-ยัน-ติ
เต-เน-วะ, มา-โร, อัน-นะ-เว-ติ, ชัน-ตุง

[คำแปล]

“พึงขจัดตัณหาที่เป็นเหตุถือมั่นทั้งปวง ทั้งเบื้องสูง เบื้องต่ำ เบื้องขวาง ท่ามกลาง เพราะเขาถือมั่นสิ่งใด ๆ ในโลกไว้ มารย่อมติดตามเขาไปเพราะสิ่งนั้น ๆ.”

(พุทฺธ) ขุ.สุ. 25/546, ขุ.จู. 30/202.

ตัณหา คือ ความทะยานอยาก มี 3 อย่าง คือ

  1. กามตัณหา ความทะยานอยากในกาม คือ ความยินดีพอใจในกามคุณ
  2. ภวตัณหา ความทะยานอยากในภพ คือ ความอยากมีอยากเป็น
  3. วิภวตัณหา ความทะยานอยากในวิภพ คือ ความพอใจในความไม่มีไม่เป็นต่าง ๆ

ตัณหาทั้ง 3 ประการนี้ เป็นสาเหตุที่ทำให้บุคคลเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง เสาะแสวงหาอารมณ์ที่น่าปรารถนาเพื่อให้ได้มาครอบครอง กระเสือกกะสนดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจต่าง ๆ เมื่อได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการก็เป็นสุข เมื่อสูญเสียพลัดพลากสิ่งที่รักที่ชอบใจก็เป็นทุกข์ โศกเศร้าเสียใจ พิไรรำพัน วนอยู่อย่างนี้ไม่จบสิ้น

ตัณหาทั้ง 3 ประการนี้เป็นตัวการที่ทำให้สัตว์โลกทั้งหลายต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น พระพุทธเจ้าจึงทรงสั่งสอนให้สาวกทั้งหลายพยายามกำจัดตัณหาเหล่านั้นให้หมดไปจากจิตจากใจ เพราะตัณหาเหล่านั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น และเมื่อมีความยึดมั่นถือมั่น มารคือกิเลสที่คอยขัดขวางทำลายคุณงามความดีก็จะคอยราวีอยู่ร่ำไป ทำให้บุคคลไม่สามารถเข้าถึงพระนิพพานอันเป็นเอกันตบรมสุขได้.