อัปปมัญญา 4 ประการ

อัปปมัญญา แปลว่า ไม่มีประมาณ ไม่มีขอบเขต หมายเอาธรรมคือพรหมวิหารทั้ง 4 ประการ แต่แผ่ไปในสรรพสัตว์โดยไม่มีประมาณ ไม่มีจำกัดขอบเขต ไม่จำกัดตัวบุคคล มี 4 ประการ เช่นเดียวกับพรหมวิหารธรรม คือ

1. เมตตา

เมตตา คือ ความรัก ความปรารถนาดี ต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายทุกตัวตน ไม่จำกัดว่าเป็นใคร ไม่เลือกที่รักผลักที่ชัง คือความปรารถนาให้สัตว์โลกทั้งปวงมีความสุขความเจริญ ไม่อยากให้สรรพสัตว์เบียดเบียนกัน ไม่อยากให้สรรพสัตว์จองเวรกัน ปรารถนาให้สรรพสัตว์อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

2. กรุณา

กรุณา คือ ความสงสาร ความปรารถนาให้สรรพสัตว์ทุกตัวตนพ้นจากความทุกข์ โดยไม่จำกัดว่าเป็นใคร ไม่เลือกที่รักผลักที่ชัง ปรารถนาให้มนุษย์ทุกคนและสัตว์โลกทุกตัวตนพ้นจากทุกข์ทั้งหลายที่ประสบอยู่ หากแม้มีความสามารถพอที่จะช่วยบุคคลหรือสัตว์เหล่านั้นให้พ้นจากทุกข์นั้น ๆ ได้ ก็ยินดีช่วยอย่างเต็มกำลัง

3. มุทิตา

มุทิตา คือ ความพลอยยินดี คือความพลอยยินดีไปกับสรรพสัตว์ทั้งหลายที่มีความสุข ประสบความสำเร็จ ไม่เลือกว่ารู้จักหรือไม่รู้จัก ไม่เลือกว่าเป็นบุคคลที่รักหรืออมิตรศัตรู ผู้ใดได้ดีมีสุขก็พลอยยินดีไปกับเขาทั้งหมด ไม่จำกัดบุคคล ไม่มีขอบเขต ไม่ปล่อยให้ความริษยาครอบงำจิตใจ ไม่ริษยาใครทั้งสิ้น

4. อุเบกขา

อุเบกขา คือ ความวางใจเป็นกลาง หมายเอาความวางใจเป็นกลางในสรรพสัตว์ทั้งหลาย คือถึงแม้จะมีเมตตาคือปรารถนาให้เขามีความสุข มีกรุณาคืออยากให้เขาพ้นจากความทุกข์ แต่หากตนเองไม่มีกำลังพอที่จะช่วยเหลือได้ หรือช่วยสุดความสามารถแล้วแต่ก็ทำให้เขามีสุขไม่ได้ หรือทำให้เขาพ้นจากความทุกข์ไม่ได้ ก็รู้จักวางใจให้เป็นกลาง ๆ โดยมาพิจารณาถึงภาวะที่สรรพสัตว์เป็นผู้มีกรรมเป็นของของตน ผู้ใดทำกรรมใดไว้ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประคับประคองจิตใจของตนไม่ให้เป็นทุกข์จนเกินเหตุ

อัปปมัญญากับพรหมวิหารนั้น ต่างกันตรงที่ พรหมวิหาร แผ่ไปในบุคคลผู้เป็นที่รัก เช่น บิดา มารดา บุตร ธิดา ญาติ มิตร เป็นต้น ส่วนอัปปมัญญานั้น แผ่ไปในบุคคลและสรรพสัตว์ทุกตัวตนอย่างไม่จำกัด อีกอย่างหนึ่งคือ พรหมวิหาร ใช้สำหรับบำเพ็ญในการใช้ชีวิตประจำวัน ส่วนอัปปมัญญานั้น เป็นธรรมที่เป็นอารมณ์ของกรรมฐาน ตัวอย่างเช่น เราแผ่เมตตาหลังจากนั่งสมาธิเสร็จ เมตตานี้จัดเป็นเมตตาในอัปปมัญญา