
อปฺปมาทรโต ภิกฺขุ…….ปมาเท ภยทสฺสิ วา
สญฺโญชนํ อณุํ ถูลํ………ฑหํ อคฺคีว คจฺฉติ.
[คำอ่าน]
อับ-ปะ-มา-ทะ-ระ-โต, พิก-ขุ……….ปะ-มา-เท, พะ-ยะ-ทัด-สิ, วา
สัน-โย-ชะ-นัง, อะ-นุง, ถู-ลัง………….ทะ-หัง, อัก-คี-วะ, คัด-ฉะ-ติ
[คำแปล]
“ภิกษุยินดีในความไม่ประมาท หรือเห็นภัยในความประมาท ย่อมเผาสังโยชน์น้อยใหญ่ไป เหมือนไฟไหม้เชื้อน้อยใหญ่ไปฉะนั้น.”
(พุทฺธ) ขุ.ธ. 25/19.
ความประมาท คือความขาดสติ ลุ่มหลงมัวเมา ถือเป็นภัยที่ยิ่งใหญ่สำหรับการดำรงชีวิต และเป็นภัยมหันต์ต่อการบำเพ็ญสมณธรรมเพื่อกระทำที่สุดแห่งทุกข์
การที่มนุษย์ทั้งหลายทั้งชายและหญิง รวมไปถึงสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ไม่รู้จบสิ้น ก็เพราะความประมาทนี้เป็นตัวการสำคัญ คือมัวประมาทลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หลงคิดว่าโลกธรรมเหล่านั้นจะอำนวยประโยชน์สุขให้แก่ตนได้อย่างแท้จริง จึงลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในสิ่งลวงโลกเหล่านั้น ไม่แสวงหาหนทางที่จะหลุดพ้นจากโลกอันเต็มไปด้วยทุกข์นี้ จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่ำไป ไม่สามารถหลุดพ้นไปได้
พุทธศาสนสุภาษิตบทนี้ พระพุทธเจ้าตรัสสอนเหล่าสาวกทั้งหลายให้เห็นภัยในความประมาท คือเห็นภัยใหญ่ในวัฏสงสารอันจะเกิดขึ้นจากความเป็นผู้ประมาทลุ่มหลงมัวเมาในลาภ ยศ สรรเสริญ และสุข ดังกล่าว เกิดความขยาดหวาดกลัวต่อภัยอันจะเกิดจากความประมาทนั้น แล้วหันมายินดีในความไม่ประมาท ปรารภความเพียรในการบำเพ็ญสมณธรรมอันจะนำให้พ้นจากทุกข์ได้อย่างแท้จริง
เมื่อสาธุชนทั้งหลายยินดีในความไม่ประมาท ปรารภความเพียรบำเพ็ญสมณธรรมอยู่เนืองนิตย์ ย่อมจะสามารถทำลายสังโยชน์กล่าวคือกิเลสอันผูกสรรพสัตว์ไว้กับวัฏฏทุกข์ได้ทีละน้อย จนสามารถทำลายให้หมดไปได้ในที่สุด
สังโยชน์ดังกล่าวนั้น มี 10 ประการ ประกอบด้วย
- สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวของตน
- วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย
- สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นศีลพรต
- กามราคะ ความกำหนัดในกาม
- ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งในใจ
- รูปราคะ ความปรารถนาในรูปภพ
- อรูปราคะ ความปรารถนาในอรูปภพ
- มานะ ความสำคัญตน
- อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน
- อวิชชา ความไม่รู้จริง
สังโยชน์ทั้ง 10 ประการดังกล่าวนี้ เป็นกิเลสที่ผูกมัดสัตว์ทั้งหลายให้ติดอยู่กับวัฏฏทุกข์ คือทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพทั้ง 3 คือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ อย่างไม่จบสิ้น ซึ่งสาเหตุที่ทำให้สรรพสัตว์ไม่สามารถทำลายหรือข้ามพ้นสังโยชน์ทั้ง 10 ประการนี้ได้ ก็เพราะความประมาทขาดสติลุ่มหลงมัวเมานั่นเอง
เมื่อสาธุชนทั้งหลายพิจารณาเห็นภัยในความประมาท ยินดีในความไม่ประมาท เริ่มปรารภความเพียรเนืองนิตย์ไม่หยุดหย่อน เมื่อความเพียรถึงที่บารมีเต็มเปี่ยม ก็จะสามารถทำลายสังโยชน์เหล่านั้นได้ทีละน้อย และทำลายให้หมดสิ้นไปได้ในที่สุด เมื่อนั้น ก็จะเข้าถึงภาวะที่หมดสิ้นกองทุกข์ ดับเชื้อแห่งการเวียนว่ายตายเกิดเสียได้ เหมือนไฟที่ไหม้เชื้อไปทีละน้อย จนสุดท้ายเชื้อไฟก็หมดไป ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือให้เผาไหม้อีก.
สารบัญ พุทธศาสนสุภาษิต
- อัตตวรรค หมวดตน
- อัปปมาทวรรค หมวดความไม่ประมาท
- กัมมวรรค หมวดกรรม
- กิเลสวรรค หมวดกิเลส
- โกธวรรค หมวดความโกรธ
- ขันติวรรค หมวดความอดทน
- จิตตวรรค หมวดจิต
- ชยวรรค หมวดความชนะ
- ทานวรรค หมวดทาน
- ทุกขวรรค หมวดทุกข์
- ธัมมวรรค หมวดธรรม
- ปกิณกวรรค หมวดเบ็ดเตล็ด
- ปัญญาวรรค หมวดปัญญา
- ปมาทวรรค หมวดความประมาท
- ปาปวรรค หมวดบาป
- ปุคคลวรรค หมวดบุคคล
- ปุญญวรรค หมวดบุญ
- มัจจุวรรค หมวดความตาย
- มิตตวรรค หมวดมิตร
- ยาจนาวรรค หมวดการขอ
- ราชวรรค หมวดพระราชา
- วาจาวรรค หมวดวาจา
- วิริยวรรค หมวดความเพียร
- เวรวรรค หมวดเวร
- สัจจวรรค หมวดความสัตย์
- สติวรรค หมวดสติ
- สัทธาวรรค หมวดศรัทธา
- สันตุฏฐิวรรค หมวดสันโดษ
- สมณวรรค หมวดสมณะ
- สามัคคีวรรค หมวดสามัคคี
- สีลวรรค หมวดศีล
- สุขวรรค หมวดความสุข
- เสวนาวรรค หมวดการคบหา