เมื่อใด พราหมณ์เป็นผู้ถึงฝั่งในธรรม 2 อย่าง ฯลฯ

ยทา ทฺวเยสุ ธมฺเมสุ     ปารคู โหติ พฺราหฺมโณ
อถสฺส สพฺเพ สํโยคา     อตฺถํ คจฺฉนฺติ ชานโต.

[คำอ่าน]

ยะ-ทา, ทะ-วะ-เย-สุ, ทำ-เม-สุ…..ปา-ระ-คู, โห-ติ, พราม-มะ-โน
อะ-ถัด-สะ, สับ-เพ, สัง-โย-คา…..อัด-ถัง, คัด-ฉัน-ติ, ชา-นะ-โต

[คำแปล]

“เมื่อใด พราหมณ์เป็นผู้ถึงฝั่งในธรรม 2 อย่าง เมื่อนั้น กิเลสเครื่องตรึงทั้งปวงของพราหมณ์ผู้รู้นั้น ย่อมถึงความตั้งอยู่ไม่ได้.”

(พุทฺธ) ขุ.ธ. 25/67.

คำว่า กิเลสเครื่องตรึง ได้แก่ สังโยชน์ ซึ่งเป็นกิเลสที่ผูกมัดสัตว์ไว้กับวัฏฏทุกข์ หรือผูกกรรมไว้กับผล มี 10 ประการ แบ่งเป็นสังโยชน์เบื้องต่ำ 5 ประการ เรียกว่า โอรัมภาคิยสังโยชน์ และสังโยชน์เบื้องสูง 5 ประการ เรียกว่า อุทธัมภาคิยสังโยชน์

โอรัมภาคิยสังโยชน์ หรือสังโยชน์เบื้องต่ำ ประกอบด้วย

สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวของตน เช่น เห็นรูป เห็นเวทนา เห็นวิญญาณ ว่าเป็นตัวตน เป็นต้น

วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย ความไม่แน่ใจ เช่น ความลังเลสงสัยในธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นต้น

สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นศีลพรตโดยสักว่าทำตาม ๆ กันไปอย่างงมงายด้วยหวังว่าจะสามารถบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ด้วยศีลพรตนั้น ๆ

กามราคะ ความติดใจหลงใหลในกามคุณ

ปฏิฆะ ความขุ่นเคืองขัดข้องหงุดหงิดรำคาญใจเมื่อประสบกับอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ

อุทธัมภาคิยสังโยชน์ หรือสังโยชน์เบื้องสูง ประกอบด้วย

รูปราคะ ความติดใจในอารมณ์แห่งรูปฌาน หรือในรูปอันประณีต รวมถึงความปรารถนาในรูปภพ

อรูปราคะ ความติดใจในอารมณ์แห่งอรูปฌาน หรือในอรูปธรรม รวมถึงความปรารถนาในอรูปภพ

มานะ ความสำคัญตน ความถือตนว่าเป็นนั่นเป็นนี่

อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ

อวิชชา ความไม่รู้จริง ความไม่รู้ในอริยสัจ

สังโยชน์ทั้ง 10 ประการนี้ เป็นกิเลสที่ทำให้สัตว์โลกทั้งหลายต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในกามภพ รูปภพ และอรูปภพ ทำให้สังสารวัฏยืดยาว ไม่สามารถพ้นไปได้โดยเร็ว

มีเพียงผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ประกอบความเพียรเพื่อเผากิเลสอยู่เนือง ๆ เท่านั้น จึงจะสามารถทำลายสังโยชน์ทั้ง 10 ประการนี้ลงได้ และกลายเป็นผู้ถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งสองคือ สังขตธรรมและอสังขตธรรม เข้าถึงพระนิพพานอันเป็นจุดสิ้นสุดแห่งสังสารวัฏได้.