อุปาทาน 4 ประการ
อุปาทาน แปลว่า ความยึดมั่น ความถือมั่น ความยึดติด หมายเอาความถือมั่นด้วยอำนาจกิเลส ความยึดติดอันเนื่องมาจากตัณหา โดยคิดเอาเองว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นความยึดถือที่ผิด เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายเศร้าหมองต่อการดำรงชีวิต
อุปาทาน แปลว่า ความยึดมั่น ความถือมั่น ความยึดติด หมายเอาความถือมั่นด้วยอำนาจกิเลส ความยึดติดอันเนื่องมาจากตัณหา โดยคิดเอาเองว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นความยึดถือที่ผิด เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายเศร้าหมองต่อการดำรงชีวิต
อาหาร แปลว่า สิ่งที่นำผลมาให้ สภาพที่นำมาซึ่งผลโดยความเป็นปัจจัยค้ำจุนรูปธรรมและนามธรรมทั้งหลาย หมายถึง เครื่องค้ำจุนชีวิต สิ่งที่หล่อเลี้ยงร่างกายและจิตใจ ทำให้เกิดกำลังเจริญเติบโตและพัฒนาได้
อวิชชา คือ ความไม่รู้ ความไม่รู้แจ้ง ความไม่รู้จริง หมายถึง ไม่รู้แจ้งชัดตามความเป็นจริง หมายเอาความไม่รู้ในอริยสัจ 4 ประการ
อรูป หรือ อารุปป์ แปลว่า สภาวะที่ไม่มีรูป หมายเอาฌานที่มีอรูปธรรมเป็นอารมณ์ คืออรูปฌาน อย่างหนึ่ง ภพของผู้เข้าถึงอรูปฌาน หรือภพอันเป็นที่อยู่ของอรูปพรหม อย่างหนึ่ง
อริยวงศ์ แปลว่า วงศ์ของพระอริยะ หมายถึง ปฏิปทาหรือข้อปฏิบัติที่พระอริยะทั้งหลายยึดถือปฏิบัติสืบกันมาแต่โบราณไม่ขาดสาย หรืออาจเรียกว่า อริยประเพณี
อัปปมัญญา แปลว่า ไม่มีประมาณ ไม่มีขอบเขต หมายเอาธรรมคือพรหมวิหารทั้ง 4 ประการ แต่แผ่ไปในสรรพสัตว์โดยไม่มีประมาณ ไม่มีจำกัดขอบเขต ไม่จำกัดตัวบุคคล มี 4 ประการ เช่นเดียวกับพรหมวิหารธรรม
อปัสเสนะ หรือ อปัสเสนธรรม คือ ธรรมดุจพนักพิง ธรรมเป็นที่พึ่งพิงอาศัย หมายถึง ธรรมที่จำเป็นต้องอาศัยเพื่อป้องกันไม่ให้อกุศลเกิดขึ้น ทำลายอกุศลที่มีอยู่ให้เสื่อมสิ้นไป สนับสนุนให้กุศลเกิดขึ้น และรักษาพอกพูนกุศลที่มีอยู่แล้วให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป
อบาย แปลว่า เสื่อม หรือความปราศจากความเจริญ หมายเอา อบายภูมิ ซึ่งแปลว่า ภูมิหรือดินแดนอันปราศจากความเจริญ หมายถึง ภูมิที่มีแต่ความทุกข์ทรมาน เป็นที่เกิดของผู้ที่ทำบาปกรรมไว้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
อัฏฐังคิกมรรค หรือ มรรคมีองค์ 8 เรียกเต็ม ๆ ว่า อริยอัฏฐังคิกมรรค แปลว่า ทางมีองค์แปดประการอันประเสริฐ เป็นทางที่นำไปสู่ความดับทุกข์ หรือที่เรียกว่า นิโรธคามินีปฏิปทา ในอริยสัจ 4 นั่นเอง องค์ 8 ประการ...
อริยสัจ แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ ความจริงของพระอริยะ หรือ ความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะ อริยสัจนี้ เป็นความจริงที่ประเสริฐกว่าความจริงทั้งหมด เพราะสามารถนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ เป็นความจริงที่พระอริยะคือพระพุทธเจ้าทรงค้นพบด้วยพระองค์เอง และทำให้ผู้ที่เข้าถึงกลายเป็นพระอริยะ
ธาตุกัมมัฏฐาน คือ กรรมฐานที่มีธาตุเป็นอารมณ์ กรรมฐานที่พิจารณาธาตุเป็นอารมณ์ คือกำหนดพิจารณากายนี้แยกเป็นส่วน ๆ ให้เห็นว่าเป็นเพียงธาตุสี่แต่ละอย่าง ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
ธาตุ 6 ประการ
1. ปฐวีธาตุ ธาตุดิน
2. อาโปธาตุ ธาตุน้ำ
3. เตโชธาตุ ธาตุไฟ
4. วาโยธาตุ ธาตุลม
5. อากาสธาตุ ธาตุที่อยู่ตามช่องว่าง
6. วิญญาณธาตุ ธาตุรู้
สติปัฏฐาน คือ ที่ตั้งของสติ หมายถึง สิ่งที่จะต้องใช้สติกำหนดพิจารณาให้รู้เห็นตามความเป็นจริง คือตามที่สิ่งนั้น ๆ มันเป็นของมัน เพื่อให้เกิดปัญญารู้แจ้ง
พรหมวิหาร คือ ธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างประเสริฐ ธรรมประจำใจอันประเสริฐ หลักความประพฤติที่ประเสริฐบริสุทธิ์ เป็นธรรมที่ต้องมีไว้เป็นหลักใจและกำกับความประพฤติ ผู้ที่มีพรหมวิหารธรรมเป็นหลักในการดำเนินชีวิต จะดำเนินชีวิตด้วยความบริสุทธิ์หมดจด และปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายโดยชอบธรรม
อารักขกัมมัฏฐาน หมายถึง กรรมฐานที่ควรรักษาไว้ คือ เป็นกรรมฐานที่ควรเจริญอย่างสม่ำเสมอมิให้ขาด อีกนัยหนึ่ง หมายถึง กรรมฐานเป็นเครื่องรักษาตน คือ กรรมฐานเป็นเครื่องคุ้มครองตนให้รอดพ้นจากภยันตรายทั้งหลายทั้งปวง
ปาริสุทธิศีล หมายถึง ศีลคือความบริสุทธิ์ ศีลเครื่องให้บริสุทธิ์ ความประพฤติบริสุทธิ์ที่จัดเป็นศีล หรือข้อปฏิบัติที่ทำให้ศีลบริสุทธิ์ มี 4 ประการ
ความประมาท หมายถึง ความลุ่มหลงมัวเมา ก็ได้ ความขาดสติ, ความเผอเรอ ก็ได้ ความไม่เอาใจใส่ ไม่ให้ความสำคัญ ก็ได้ ความประมาทในที่นี้ หมายเอาการไม่เอาใจใส่ หรือการไม่ให้ความสำคัญ ดังนั้น สิ่งที่ไม่ควรประมาท จึงหมายถึง สิ่งที่ไม่ควรละเลย หรือสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ มี 4 ประการ
อิทธิบาท แปลว่า ทางแห่งความสำเร็จ หมายถึง คุณเครื่องให้ถึงความสำเร็จ คุณธรรมที่นำไปสู่ความสำเร็จแห่งผลที่มุ่งหมาย หรือข้อปฏิบัติที่เป็นเหตุนำไปสู่ความสำเร็จตามความมุ่งหมาย มี 4 ประการ
อธิษฐานธรรม คือ ธรรมเป็นที่มั่น ธรรมอันเป็นฐานที่มั่นคงของบุคคล หรือ ธรรมอันเป็นฐานตั้งมั่นเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามที่ต้องการ เป็นธรรมที่ควรใช้เป็นที่ประดิษฐานตน เพื่อให้สามารถยึดเอาผลสำเร็จสูงสุดอันเป็นที่หมายได้ โดยไม่เกิดความสำคัญตนผิด และไม่เกิดสิ่งมัวหมองหมักหมมทับถมตน มี 4 ประการ
ปธาน แปลว่า ความเพียร เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สัมมัปปธาน แปลว่า ความเพียรชอบ หรือความเพียรที่ถูกที่ควร หมายถึง ความเพียรที่ควรตั้งไว้ในใจ เป็นธรรมสำหรับกำจัดความเกียจคร้านและปลุกใจให้ฝักใฝ่ในการสร้างคุณงามความดี มี 4 ประการ
การบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนานั้น มีเป้าหมายเพื่อการปฏิบัติขัดเกลาตน เพื่อกำจัดกิเลส และเข้าถึงเป้าหมายสูงสุดคือพระนิพพาน เปรียบเหมือนการว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรจากฝั่งหนึ่งเพื่อไปยังอีกฝั่งหนึ่ง ย่อมต้องพบกับภัยต่าง ๆ ที่จะมีมาขัดขวาง และต้องเอาชนะให้ได้
อคติ แปลว่า ฐานะอันไม่พึงถึง หมายถึง ทางแห่งความประพฤติที่ผิด ความไม่เที่ยงธรรม ความลำเอียง จัดประเภทตามสาเหตุที่ทำให้เกิดอคติ เป็น 4 ประการ
จักร 4 ประการ
1. ปฏิรูปเทสวาสะ การอยู่ในประเทศอันเหมาะสม
2. สัปปุริสูปัสสยะ การคบสัตบุรุษ
3. อัตตสัมมาปณิธิ การตั้งตนไว้ชอบ
4. ปุพเพกตปุญญตา ความเป็นผู้ได้ทำบุญไว้ในกาลก่อน
วุฑฒิ 4 ธรรมเป็นเครื่องเจริญ 4 ข้อ
1. สัปปุริสสังเสวะ การคบหาสัตบุรุษ
2. สัทธัมมัสสวนะ การสดับสัทธรรม
3. โยนิโสมนสิการ การทำในใจโดยแยบคาย
4. ธัมมานุธัมมปฏิบัติ การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
ฆราวาสธรรม แปลว่า หลักธรรมสำหรับฆราวาส ธรรมะสำหรับผู้ครองเรือน หมายถึง หลักการครองชีวิตของคฤหัสถ์ ธรรมะอันเป็นข้อปฏิบัติในการใช้ชีวิตของผู้ครองเรือน เพื่อให้เกิดความสุขความเจริญแก่ภาวะของตน มี 4 ประการ
กุลจิรัฏฐิติธรรม คือ ธรรมสำหรับดำรงความมั่งคั่งของตระกูลให้ยั่งยืน ได้แก่ สาเหตุที่ทำให้ตระกูลมั่งคั่งสามารถดำรงอยู่ได้นาน ไม่พบกับความพินาศฉิบหายแห่งทรัพย์ มี 4 ประการ
พระพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุ 4 ประการ ที่ทำให้ตระกูลที่ร่ำรวยต้องพบกับความพินาศหรือพบกับความยากจน เป็นธรรมสำหรับเตือนสติผู้ครองเรือน เพื่อให้หลีกเลี่ยงการกระทำ 4 อย่างนี้ จะได้รักษาตระกูลเอาไว้ได้ ไม่ต้องพบกับความพินาศย่อยยับ
ชาวโลกทั้งปวงต้องการมีทรัพย์สมบัติจำนวนมาก จึงพากันดิ้นรนเพื่อแสวงหาทรัพย์ ต้องทำงานทำการ ประกอบธุรกิจต่าง ๆ นานา เพื่อให้ได้ทรัพย์สินมา คนจนก็ต้องการมีฐานะร่ำรวย แม้แต่คนที่รวยอยู่แล้วก็ยังต้องการร่ำรวยยิ่งขึ้นไปอีก
สุขของคฤหัสถ์ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า คิหิสุข หรือ กามโภคีสุข หมายถึง ความสุขของชาวบ้าน ความสุขระดับชาวบ้าน ความสุขระดับของผู้ครองเรือน เป็นความสุขที่อยู่ในระดับโลกิยสุข เป็นความสุขอันชอบธรรมที่ผู้ครองเรือนทั่วไปควรมี ท่านจำแนกไว้ 4 ประการ
สันโดษ แปลว่า ความยินดี ความพอใจ หมายถึง ความยินดีพอใจด้วยของของตนเท่าที่มี เท่าที่พอดีแก่กำลัง หรือเท่าที่สมควร เป็นหลักธรรมเพื่อการดำรงชีวิตด้วยความรู้จักพอ ป้องกันการดิ้นรนจนเกินกำลัง หรือการแสวงหาที่ผิดทาง มี 3 ประการ