Category: หัวข้อธรรม

โยนิ 4 ประการ

โยนิ แปลว่า กำเนิด หมายถึง แบบหรือชนิดของการเกิด การถือกำเนิดของสรรพสัตว์ ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกัน จำแนกเป็น 4 ลักษณะ

ผล 4 ประการ

ผล ในที่นี้ หมายถึง ผลที่เกิดสืบเนื่องจากการละกิเลสได้ด้วยมรรค ธรรมารมณ์อันพระอริยะพึงเสวย ที่เป็นผลเกิดเองในเมื่อกิเลสสิ้นไปด้วยอำนาจมรรคนั้นๆ บางที่เรียกว่า สามัญญผล คือผลแห่งการบำเพ็ญสมณธรรม

มรรค 4 ประการ

มรรค แปลว่า หนทาง ในที่นี้หมายถึง ทางเข้าถึงความเป็นอริยบุคคล ได้แก่ ญาณที่ทำให้ละสังโยชน์ได้ขาด แบ่งเป็น 4 ระดับ ตามความสามารถละสังโยชน์ได้มากน้อยกว่ากัน

ภูมิ 4 ประการ

ภูมิ คือ ชั้นแห่งจิต ระดับจิตใจ ระดับชีวิต หมายถึง ชั้นหรือพื้นเพของจิตและเจตสิกที่ประณีตขึ้นไปตามลำดับ แบ่งเป็น 4 ชั้น

ปฏิสัมภิทา 4 ประการ

ปฏิสัมภิทา คือ ปัญญาอันแตกฉาน ความรู้อันแตกฉาน เป็นคุณสมบัติพิเศษของพระอรหันต์ประเภท ปฏิสัมภิทัปปัตโต คือ พระอรหันต์ผู้ได้ปฏิสัมภิทา 4 ประการ

ปฏิปทา 4 ประการ

ปฏิปทา หมายถึง แนวปฏิบัติ ทางดำเนิน การปฏิบัติที่เป็นทางดำเนินให้ถึงจุดหมายคือความหลุดพ้นหรือความสิ้นอาสวะ จำแนกตามความยากลำบากของการปฏิบัติและความช้าเร็วของการบรรลุเป้าหมาย

บุคคล 4 ประเภท

บุคคล หมายถึง บุคคลผู้มีอัธยาศัยต่าง ๆ กัน มีอุปนิสัยต่าง ๆ กัน ท่านจำแนกประเภทตามอุปนิสัยในอันที่จะฟังธรรมแล้วรู้ตามได้ เป็น 4 ประเภท

บริษัท 4 (หมวดที่ 2)

บริษัท แปลว่า หมู่ คณะ กลุ่มชน ในที่นี้ หมายเอากลุ่มชนตามระบบสังคม ซึ่งจำแนกตามกลุ่มชนทางสังคมในชมพูทวีปในครั้งพุทธกาล แบ่งเป็น 4 กลุ่มใหญ่ ๆ

บริษัท 4 (หมวดที่ 1)

บริษัท แปลว่า ชุมนุม ที่ประชุม หรือกลุ่มชน ในที่นี้หมายเอาหมู่แห่งพุทธศาสนิก หรือชุมชนชาวพุทธ หมายถึงกลุ่มชนที่จะประคับประคองพระพุทธศาสนาให้คงอยู่และเจริญรุ่งเรืองไปได้

ธรรมสมาทาน 4 ประการ

ธรรมสมาทาน คือ ข้อที่ยึดถือเอาเป็นหลักความประพฤติปฏิบัติ หลักการที่ยึดถือปฏิบัติ การประกอบกรรม เป็นข้อธรรมที่มุ่งแสดงถึงรูปแบบของการปฏิบัติและลักษณะของการให้ผลของการปฏิบัตินั้น มี 4 ลักษณะ

ทักขิณาวิสุทธิ 4 ประการ

ทักขิณาวิสุทธิ หมายถึง ความบริสุทธิ์แห่งทักษิณาหรือการถวายทาน เป็นสิ่งจำแนกให้เห็นชัดว่าการถวายทานนั้นจะมีอานิสงส์มากหรือน้อย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ของฝ่ายผู้ให้และผู้รับ

ฌาน 4 ประการ

ฌาน หมายถึง ความแน่วแน่แห่งจิต หรือภาวะที่จิตสงบนิ่งเป็นสมาธิขั้นอัปปนา ซึ่งเป็นสมาธิขั้นสูงสุด เกิดจากการเจริญสมถกรรมฐาน ในที่นี้หมายเอารูปฌาน คือฌานที่เกิดจากการเพ่งสิ่งที่เป็นรูปธรรม เช่น กสิณ 10 อสุภะ 10 เป็นต้น เป็นอารมณ์

กิจในอริยสัจ 4

กิจในอริยสัจ 4 คือ หน้าที่อันจะพึงทำต่ออริยสัจ 4 แต่ละอย่าง ข้อที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องและเสร็จสิ้นในอริยสัจ 4 แต่ละอย่าง ผู้ที่จะปฏิบัติให้ตรัสรู้ได้นั้น จะต้องปฏิบัติกิจในอริยสัจ 4 แต่ละข้อให้ถูกต้อง

โอฆะ 4 ประการ

โอฆะ แปลว่า ห้วงน้ำ หมายถึง สภาวะอันเป็นดุจกระแสน้ำหลากท่วมใจสัตว์ กิเลสที่เป็นเหมือนห้วงน้ำที่พัดพาสรรพสัตว์ให้จมอยู่ในวังวนแห่งสังสารวัฏ กิเลสดุจน้ำท่วมพาผู้ตกไปให้พินาศ โอฆะนี้ เรียกว่า โยคะ บ้าง เพราะเป็นกิเลสที่ผูกมัดสรรพสัตว์ไว้ในภพ เรียกว่า อาสวะ บ้าง เพราะเป็นกิเลสที่หมักหมมฝังแน่นอยู่ในสันดานของสรรพสัตว์

อุปาทาน 4 ประการ

อุปาทาน แปลว่า ความยึดมั่น ความถือมั่น ความยึดติด หมายเอาความถือมั่นด้วยอำนาจกิเลส ความยึดติดอันเนื่องมาจากตัณหา โดยคิดเอาเองว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นความยึดถือที่ผิด เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายเศร้าหมองต่อการดำรงชีวิต

อาหาร 4 ประการ

อาหาร แปลว่า สิ่งที่นำผลมาให้ สภาพที่นำมาซึ่งผลโดยความเป็นปัจจัยค้ำจุนรูปธรรมและนามธรรมทั้งหลาย หมายถึง เครื่องค้ำจุนชีวิต สิ่งที่หล่อเลี้ยงร่างกายและจิตใจ ทำให้เกิดกำลังเจริญเติบโตและพัฒนาได้

อวิชชา 4 ประการ

อวิชชา คือ ความไม่รู้ ความไม่รู้แจ้ง ความไม่รู้จริง หมายถึง ไม่รู้แจ้งชัดตามความเป็นจริง หมายเอาความไม่รู้ในอริยสัจ 4 ประการ

ฌาน 2 ประการ

ฌาน 2 ประการ
1. อารัมมณูปนิชฌาน การเพ่งอารมณ์ด้วยจิตที่เป็นสมาธิแน่วแน่
2. ลักขณูปนิชฌาน การเพ่งลักษณะ

ฌาน 2 ประเภท

ฌาน 2 ประเภท
1. รูปฌาน ฌานมีรูปธรรมเป็นอารมณ์
2. อรูปฌาน ฌานมีอรูปธรรมเป็นอารมณ์

อรูป 4 ประการ

อรูป หรือ อารุปป์ แปลว่า สภาวะที่ไม่มีรูป หมายเอาฌานที่มีอรูปธรรมเป็นอารมณ์ คืออรูปฌาน อย่างหนึ่ง ภพของผู้เข้าถึงอรูปฌาน หรือภพอันเป็นที่อยู่ของอรูปพรหม อย่างหนึ่ง

อริยวงศ์ 4 ประการ

อริยวงศ์ แปลว่า วงศ์ของพระอริยะ หมายถึง ปฏิปทาหรือข้อปฏิบัติที่พระอริยะทั้งหลายยึดถือปฏิบัติสืบกันมาแต่โบราณไม่ขาดสาย หรืออาจเรียกว่า อริยประเพณี

อัปปมัญญา 4 ประการ

อัปปมัญญา แปลว่า ไม่มีประมาณ ไม่มีขอบเขต หมายเอาธรรมคือพรหมวิหารทั้ง 4 ประการ แต่แผ่ไปในสรรพสัตว์โดยไม่มีประมาณ ไม่มีจำกัดขอบเขต ไม่จำกัดตัวบุคคล มี 4 ประการ เช่นเดียวกับพรหมวิหารธรรม

อปัสเสนธรรม 4 ประการ

อปัสเสนะ หรือ อปัสเสนธรรม คือ ธรรมดุจพนักพิง ธรรมเป็นที่พึ่งพิงอาศัย หมายถึง ธรรมที่จำเป็นต้องอาศัยเพื่อป้องกันไม่ให้อกุศลเกิดขึ้น ทำลายอกุศลที่มีอยู่ให้เสื่อมสิ้นไป สนับสนุนให้กุศลเกิดขึ้น และรักษาพอกพูนกุศลที่มีอยู่แล้วให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป

อบาย 4 ประเภท

อบาย แปลว่า เสื่อม หรือความปราศจากความเจริญ หมายเอา อบายภูมิ ซึ่งแปลว่า ภูมิหรือดินแดนอันปราศจากความเจริญ หมายถึง ภูมิที่มีแต่ความทุกข์ทรมาน เป็นที่เกิดของผู้ที่ทำบาปกรรมไว้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่

อริยสัจ 4 ประการ

อริยสัจ แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ ความจริงของพระอริยะ หรือ ความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะ อริยสัจนี้ เป็นความจริงที่ประเสริฐกว่าความจริงทั้งหมด เพราะสามารถนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ เป็นความจริงที่พระอริยะคือพระพุทธเจ้าทรงค้นพบด้วยพระองค์เอง และทำให้ผู้ที่เข้าถึงกลายเป็นพระอริยะ

ธาตุกัมมัฏฐาน 4 ประการ

ธาตุกัมมัฏฐาน คือ กรรมฐานที่มีธาตุเป็นอารมณ์ กรรมฐานที่พิจารณาธาตุเป็นอารมณ์ คือกำหนดพิจารณากายนี้แยกเป็นส่วน ๆ ให้เห็นว่าเป็นเพียงธาตุสี่แต่ละอย่าง ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา

ธาตุ 6 ประการ

ธาตุ 6 ประการ
1. ปฐวีธาตุ ธาตุดิน
2. อาโปธาตุ ธาตุน้ำ
3. เตโชธาตุ ธาตุไฟ
4. วาโยธาตุ ธาตุลม
5. อากาสธาตุ ธาตุที่อยู่ตามช่องว่าง
6. วิญญาณธาตุ ธาตุรู้

สติปัฏฐาน 4 ประการ

สติปัฏฐาน คือ ที่ตั้งของสติ หมายถึง สิ่งที่จะต้องใช้สติกำหนดพิจารณาให้รู้เห็นตามความเป็นจริง คือตามที่สิ่งนั้น ๆ มันเป็นของมัน เพื่อให้เกิดปัญญารู้แจ้ง

พรหมวิหาร 4 ประการ

พรหมวิหาร คือ ธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างประเสริฐ ธรรมประจำใจอันประเสริฐ หลักความประพฤติที่ประเสริฐบริสุทธิ์ เป็นธรรมที่ต้องมีไว้เป็นหลักใจและกำกับความประพฤติ ผู้ที่มีพรหมวิหารธรรมเป็นหลักในการดำเนินชีวิต จะดำเนินชีวิตด้วยความบริสุทธิ์หมดจด และปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายโดยชอบธรรม