ทิฏฐิ 3 ประการ
ทิฏฐิ คือ ความเห็น ในที่นี้หมายเอามิจฉาทิฏฐิคือความเห็นผิด ได้แก่ความเห็นที่ขัดกับหลักพุทธศาสนา ความเห็นที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง เป็นความเห็นที่ควรละเสีย มี 3 ประการ
ทิฏฐิ คือ ความเห็น ในที่นี้หมายเอามิจฉาทิฏฐิคือความเห็นผิด ได้แก่ความเห็นที่ขัดกับหลักพุทธศาสนา ความเห็นที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง เป็นความเห็นที่ควรละเสีย มี 3 ประการ
กามตัณหา ความทะยานอยากในกาม หมายถึง ความทะยานอยากในการแสวงหากามคุณทั้งห้า คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าใคร่น่าพอใจมาสนองความต้องการของตนเอง เช่น ต้องการเห็นรูปที่สวยงาม ต้องการฟังเสียงที่ไพเราะ เป็นต้น ก็ดิ้นรนแสวงหาสิ่งเหล่านั้นมาสนองความต้องการของตนเอง
ญาณ แปลว่า ความรู้ ความหยั่งรู้ ปรีชาหยั่งรู้ หมายถึง ปัญญาหยั่งรู้ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของบุคคลทำให้รู้แจ้งเห็นจริง ญาณในหมวดนี้หมายเอาความรู้แจ้งในอริยสัจ 4 มี 3 ประการ
ญาณ แปลว่า ความรู้ ความหยั่งรู้ ปรีชาหยั่งรู้ หมายถึง ปัญญาหยั่งรู้ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของบุคคล ทำให้รู้แจ้งเห็นจริงในธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริง มี 3 ประการ
ทวาร 6 ประการ
1. จักขุทวาร ทวารคือตา
2. โสตทวาร ทวารคือหู
3. ฆานทวาร ทวารคือจมูก
4. ชิวหาทวาร ทวารคือลิ้น
5. กายทวาร ทวารคือกาย
6. มโนทวาร ทวารคือใจ
ทวาร แปลว่า ประตู ทาง หรือช่องทาง มีความหมายเป็น 2 นัย คือ นัยที่ 1 หมายถึงช่องทางในการรับรู้อารมณ์ มี 6 อย่าง เรียกว่า ทวาร 6 นัยที่ 2 หมายถึงช่องทางในการทำกรรม มี 3 ทาง เรียกว่า ทวาร 3
กรรม คือ การกระทำ หมายถึง การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายดีหรือฝ่ายชั่วก็ตาม แบ่งตามทวารหรือช่องทางในการกระทำ มี 3 ประการ
อาสวะ คือ สภาวะอันหมักดองสันดาน สิ่งที่มอมเมาพื้นจิต กิเลสที่ไหลซึมซ่านไปย้อมใจเมื่อประสบอารมณ์ต่าง ๆ จัดเป็นกิเลสอย่างละเอียด ปกติจะไม่แสดงตัวออกมา ต่อเมื่อประสบกับอารมณ์ที่น่าใคร่น่าพอใจจึงจะแสดงตัวออกมา ท่านจำแนกไว้ 3 ประการบ้าง 4 ประการบ้าง
อาสวะ คือ สภาวะอันหมักดองสันดาน สิ่งที่มอมเมาพื้นจิต กิเลสที่ไหลซึมซ่านไปย้อมใจเมื่อประสบอารมณ์ต่าง ๆ จัดเป็นกิเลสอย่างละเอียด ปกติจะไม่แสดงตัวออกมา ต่อเมื่อประสบกับอารมณ์ที่น่าใคร่น่าพอใจจึงจะแสดงตัวออกมา มี 3 ประการ
อภิสังขาร คือ สภาพที่ปรุงแต่ง ธรรมมีเจตนาเป็นประธานอันปรุงแต่งผลแห่งการกระทำ หรือเจตนาที่เป็นตัวการในการกระทำ มี 3 ประการ
อนุตตริยะ 6 ประการ
1. ทัสสนานุตตริยะ การเห็นอันยอดเยี่ยม
2. สวนานุตตริยะ การฟังอันยอดเยี่ยม
3. ลาภานุตตริยะ การได้อันยอดเยี่ยม
4. สิกขานุตตริยะ การศึกษาอันยอดเยี่ยม
5. ปาริจริยานุตตริยะ การบำรุงอันยอดเยี่ยม
6. อนุสสตานุตตริยะ การระลึกอันยอดเยี่ยม
อนุตตริยะ แปลว่า ภาวะอันยอดเยี่ยม สิ่งที่ยอดเยี่ยม กล่าวถึงความเป็นเหตุเป็นผลที่สืบเนื่องกันของความรู้ การปฏิบัติ และผลที่ได้ อันยอดเยี่ยม มี 3 ประการ
อธิปไตย หรือ อธิปเตยยะ แปลว่า ความเป็นใหญ่ หรือ ภาวะที่ถือเอาเป็นใหญ่ หมายถึง สิ่งที่ยึดถือเป็นสำคัญในการกระทำหรือการดำเนินชีวิต มี 3 ประการ คือ อัตตาธิปไตย โลกาธิปไตย ธัมมาธิปไตย
อัตถะ แปลว่า ประโยชน์ การบำเพ็ญประโยชน์ ผลที่มุ่งหมาย หรือจุดหมาย แบ่งประเภทตามบุคคลที่จะได้รับประโยชน์ มี 3 ประเภท
อัตถะ แปลว่า ประโยชน์ ผลที่มุ่งหมาย จุดหมาย พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมสั่งสอนพุทธบริษัททั้งหลาย ก็เพื่อให้พุทธบริษัทนั้นได้รับประโยชน์ 3 ประการ
อัคคิปาริจริยา แปลว่า ไฟที่ควรบำรุง หมายถึง บุคคลที่ควรบูชาด้วยใส่ใจบำรุงเลี้ยง และให้ความเคารพนับถือตามสมควรแก่ฐานะ มี 3 ประเภท
อัคคิ แปลว่า ไฟ หมายถึง กิเลสที่เปรียบเหมือนไฟ เพราะเผาลนจิตใจสรรพสัตว์ให้เร่าร้อนและแส่พร่านไป ไฟคือกิเลสนี้แบ่งเป็น 3 กอง
กุศลวิตก คือ ความตรึกที่เป็นกุศล ความนึกคิดที่ดี ความคิดที่เป็นไปในทางที่ดี เป็นความคิดที่ถูกทาง เป็นความนึกคิดที่นำพาไปสู่ความสุขความเจริญ มี 3 ประการ
อกุศลวิตก คือ ความตรึกที่เป็นอกุศล ความนึกคิดที่ไม่ดี เป็นความคิดที่ผิดทาง เป็นความคิดที่เป็นสาเหตุแห่งการกระทำความชั่วนานาประการ แบ่งเป็น 3 อย่าง
สามัญลักษณะ หรือ ไตรลักษณ์ คือ ลักษณะที่เสมอกันของสังขารทั้งหลาย อาการที่เป็นเครื่องกำหนดหมายให้รู้ถึงความจริงของสภาวธรรมทั้งหลาย ที่เป็นอย่างนั้นตามธรรมดาของมัน คือทุกสิ่งทุกอย่างล้วนตกอยู่ในลักษณะเหล่านี้ทั้งหมด มี 3 ประการ
บุญกิริยาวัตถุ แปลว่า ที่ตั้งแห่งการทำบุญ หรือวิธีทำบุญ วิถีแห่งการทำบุญ ในพระไตรปิฎก ท่านจำแนกบุญกิริยาวัตถุไว้ 3 ประการ แต่พระอรรถกถาจารย์นำมาขยายให้มีความหลากหลายขึ้นเป็น 10 ประการ
บุญกิริยาวัตถุ แปลว่า ที่ตั้งแห่งการทำบุญ หรือ วิธีการทำบุญ วิธีที่ก่อให้เกิดบุญ เป็นการแนะนำช่องทางสำหรับการบำเพ็ญบุญกุศลในพุทธศาสนา ท่านจำแนกเป็น 3 อย่าง
อปัณณกปฏิปทา แปลว่า การปฏิบัติที่ไม่ผิด หมายถึง การปฏิบัติที่ไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากความเป็นอริยะ เป็นหลักปฏิบัติที่จะนำผู้ปฏิบัติให้ถึงความเจริญงอกงามในธรรม เป็นผู้ดำรงอยู่ในวิถีแห่งความรอดพ้นจากทุกข์อย่างแน่นอนไม่มีผิดพลาด มี 3 ประการ
สัปปุริสบัญญัติ แปลว่า บัญญัติของสัตบุรุษ ข้อปฏิบัติที่สัตบุรุษวางเป็นแบบไว้หรือกล่าวสรรเสริญไว้ เป็นธรรมที่มีมาก่อนพุทธศาสนา เป็นข้อปฏิบัติที่บัณฑิตชนในยุคนั้นบัญญัติขึ้นและถือปฏิบัติสืบต่อกันมา และพระพุทธเจ้าก็ทรงสรรเสริญและทรงให้การรับรองไว้ มี 3 ประการ
กุศลมูล แปลว่า รากเหง้าของความดี หรือต้นตอแห่งความดี เป็นสาเหตุที่ทำให้คนสร้างคุณงามความดีละเว้นความชั่ว ท่านจำแนกไว้ 3 ประการ
โลภะ คือ ความอยากได้ หมายเอาความอยากได้ในทางที่ผิด อยากได้แล้วแสวงหาหรือไขว่คว้าเอามาในทางที่ผิดหรือด้วยวิธีที่ผิด เช่น อยากได้เงินแล้วไปปล้นหรือไปขโมยเอา ทุจริตคดโกงเอา ฉ้อราษฎร์บังหลวง เป็นต้น เหล่านี้ล้วนแต่เป็นความชั่วที่เกิดจากความโลภอยากได้ทั้งนั้น
อริยบุคคล แปลว่า บุคคลผู้เป็นอริยะ หรือ บุคคลผู้ประเสริฐ ได้แก่ บุคคลผู้ข้ามพ้นความเป็นปุถุชนได้แล้ว บรรลุธรรมขั้นสูงในพระพุทธศาสนา ตั้งแต่โสดาปัตติมรรคขึ้นไป ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์
พระอรหันต์ 5 ประเภท
1. ปัญญาวิมุต ผู้หลุดพ้นด้วยอำนาจแห่งปัญญา
2. อุภโตภาควิมุต ผู้หลุดพ้นทั้งสองส่วน
3. เตวิชชะ ผู้ได้วิชชา 3
4. ฉฬภิญญะ ผู้ได้อภิญญา 6
5. ปฏิสัมภิทัปปัตตะ ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา 4
พระอรหันต์ หมายถึง ผู้ห่างไกลจากกิเลส จัดเป็นพระอริยบุคคลชั้นสูงสุดในบรรดาพระอริยบุคคล 4 ประเภท พระอรหันต์นั้น ถือว่าเป็นผู้หมดกิเลสเหมือนกันทั้งหมด แต่จะมีคุณสมบัติหรือคุณพิเศษแตกต่างกันไปบ้าง ท่านแบ่งพระอรหันต์ออกเป็น 2 ประเภทบ้าง 4 ประเภทบ้าง 5 ประเภทบ้าง
พระอนาคามี 5 ประเภท
1. อันตราปรินิพพายี
2. อุปหัจจปรินิพพายี
3. อสังขารปรินิพพายี
4. สสังขารปรินิพพายี
5. อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี